แม้ทวีปแอฟริกาจัดเป็นกลุ่มประเทศที่เผชิญความยากจนและมีความมั่นคงทางอาหารในระดับต่ำ และมีการนำเข้าอาหารเพื่อบริโภคกว่า 50 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี แต่ยังมีโอกาสเป็นแหล่งผลิตอาหารสำคัญของโลกเพราะข้อได้เปรียบที่ขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มได้ ผลผลิตต่อไร่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและมีความตื่นตัวในการพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืช ทำให้ผู้ประกอบการไทยที่เชี่ยวชาญในธุรกิจเกี่ยวเนื่องเช่น เจียไต๋ Ricult Agritech ฯลฯ ควรเร่งศึกษาเพื่อพัฒนาธุรกิจ
Krungthai COMPASS เปิดเผยว่า ทวีปแอฟริกาถูกจับตามองว่าจะเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของโลกแห่งใหม่ หลังจากมีข่าวว่า ประเทศ Morocco มีการขุดพบแหล่งปุ๋ยธรรมชาติจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้การเพาะปลูกพืชในแอฟริกามีต้นทุนถูกลงจากการที่มีแหล่งผลิตปุ๋ยอยู่ใกล้ภูมิภาค คาดว่าตลาดสินค้าเกษตรและอาหารของแอฟริกาจะมีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯในปี 2030 จากราว 280,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2023 โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่
1) แอฟริกาตื่นตัวในการพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชด้วยเทคโนโลยีชีวภาพและพันธุศาสตร์ ตามรายงานล่าสุดของ International Service for the Acquisition of Agri-biotech Applications (ISAAA) ซึ่งเป็นสถาบันระดับโลกที่ทำการศึกษาและผลักดันเกี่ยวกับพืชที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ พบว่า กลุ่มประเทศแอฟริกามีประเทศที่ปลูกพืชจากเมล็ดพันธุ์ชีวภาพเพิ่มขึ้นจาก 3 ประเทศ เป็น 6 ประเทศ โดยเฉพาะประเทศแอฟริกาใต้ที่ในปัจจุบัน 85% ของข้าวโพดที่เพาะปลูกในประเทศ เป็นข้าวโพดที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ให้ทนต่อสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 236 สายพันธุ์ ให้ผลผลิตที่ราวปีละ 15 ล้านตัน
ทั้งนี้ ข้อมูลมูลค่าตลาดเมล็ดพันธุ์ชีวภาพของกลุ่มประเทศแอฟริกายังชี้ให้เห็นว่า ตลาดเทคโนโลยีเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ชีวภาพของทวีปแอฟริกามีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก Mordor Intelligence พบว่า ตลาดเมล็ดพันธุ์ชีวภาพของแอฟริกามีแนวโน้มเติบโตไปอยู่ที่ 4,180 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเติบโตราวปีละ 4.9%CAGR (2024-2030) จากในปี 2024 ที่อยู่ที่ราว 3,120 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
2) ผลผลิตต่อไร่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการเข้าถึงแหล่งผลิตปุ๋ยที่มากขึ้น รวมถึงเทคโนโลยีในการปรับปรุงดินที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ข้อมูลจาก UN Food and Agriculture Organization พบว่า ที่ผ่านมา ผลผลิตต่อไร่ของพืชเกษตรในกลุ่มประเทศแอฟริกาจะอยู่ในระดับต่ำกว่าทวีปอื่นๆ เช่น ผลผลิตธัญพืชในกลุ่มประเทศแอฟริกา ที่มีผลผลิตอยู่ที่ราว 1.8 ตัน/เฮกตาร์ ขณะที่ผลผลิตธัญพืชของกลุ่มประเทศในแถบอเมริกาเหนืออยู่ราว 7.1 ตัน/เฮกตาร์ ประกอบกับข้อมูลการใช้ปุ๋ยในกลุ่มประเทศแอฟริกายังอยู่ในระดับต่ำ
โดยข้อมูลจาก FAO พบว่า กลุ่มประเทศแอฟริกา อาทิเช่น ไนจีเรีย กาน่า และเอธิโอเปีย มีปริมาณการใช้ปุ๋ยอยู่ที่ราว 15-40 กิโลกรัมต่อเฮกตาร์ ขณะที่ประเทศจีน หรือบราซิล มีปริมาณการใช้ปุ๋ยอยู่ที่ราว 300-320 กิโลกรัมต่อเฮกตาร์ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลผลิตพืชเกษตรในทวีปแอฟริกามี Yield อยู่ในระดับต่ำ หากเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่มีการเข้าถึงปุ๋ยเคมีได้มากกว่า
3) แอฟริกาสามารถขยายพื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรได้อีกมาก จากภูมิศาสตร์ที่ยังมีพื้นที่ว่างอีกจำนวนมาก โดยทวีปแอฟริกาจัดว่าเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่เป็นอับดับ 2 ของโลกรองจากเอเชีย ด้วยพื้นที่ประมาณ 30.4 ล้านตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1.9 หมื่นล้านไร่ ซึ่งแบ่งเป็นพื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรอยู่ที่ 11.3 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ 7 พันล้านไร่
อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากเว็บไซต์ World Economic Forum ในบทความเรื่อง 2 truths about Africa's agriculture ระบุว่า ในปัจจุบันกลุ่มประเทศแอฟริกามีพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกถึงประมาณ 60% ของพื้นที่ทั้งหมดของทวีปแอฟริกาหรือราว 1.1 หมื่นล้านไร่ ส่วนพื้นที่ที่เหลือประกอบไปด้วยพื้นที่ทะเลทรายที่มีความแห้งแล้งอีกประมาณ 40% หรือราว 0.8 ล้านไร่ อย่างไรก็ดี แอฟริกายังได้รับแรงหนุนจากเงินลงทุนด้านการบริหารจัดการน้ำที่คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 65 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยให้สามารถขยายพื้นที่เพาะปลูกเข้าไปในพื้นที่แห้งแล้งได้ราว 5-15%
ในส่วนของธุรกิจไทย Krungthai COMPASS มองว่า ตลาดสินค้าเกษตรและอาหารในแอฟริกาที่เป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในกลุ่มธุรกิจที่เมล็ดพันธุ์ (เช่น เจียไต๋) และธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีเกษตรทันสมัย (เช่น Ricult Agritech) เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ประกอบการไทยทั้งรายใหญ่ และผู้ประกอบการ Startup ที่มีความเชี่ยวชาญเข้าไปลงทุนธุรกิจเมล็ดพันธุ์ในแอฟริกา ซึ่งคาดว่าตลาดเมล็ดพันธุ์ในแอฟริกาจะอยู่ที่ราว 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2030 หรือเติบโตปีละ 11.1%CAGR (2022-2030)
รวมถึงธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีเกษตรทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีในการวิเคราะห์ดินเพื่อให้เหมาะกับการใช้ปุ๋ยในแต่ละพื้นที่ หรือการใช้ IoT ในการบริหารจัดการสวนหรือฟาร์ม ไปจนถึงจักรกลเกษตรระบบอัตโนมัติ ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ราว 3,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯในปี 2030 หรือเติบโตปีละ 6.4%CAGR (2024-2030) จึงเป็นโอกาสในการต่อยอด และขยายตลาดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในตลาดโลก โดยเฉพาะในตลาดแอฟริกาที่กำลังมีแนวโน้มเติบโตในภาคเกษตร แต่ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยี
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : กรุงไทยเผยกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 67 อยู่ที่ 22,274 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1%YoY เหตุรายได้ดอกเบี้ยเพิ่ม
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine