ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยปี 2568 เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าชัดเจนขึ้น ต้องจับตา 3 ปัจจัยหลัก 1) ทิศทางดอกเบี้ย Fed และผลกระทบจากนโยบายของ Donald Trump 2) แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และ 3) ปัจจัยพื้นฐานที่อ่อนแอและเสี่ยงต่อการฟื้นตัวช้าของเศรษฐกิจไทย คาดสิ้นปี 68 เงินบาทปิดที่ระดับ 35.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทในปี 2567 มีกรอบระหว่างปีของเงินบาทที่กว้างขึ้นสะท้อนความผันผวน เงินบาทปิดตลาดสิ้นปี 2567 ที่ระดับ 34.11 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ใกล้เคียงระดับปิดสิ้นปี 2566 ที่ 34.14 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งหากมองในมิติของระดับปิดสิ้นปี อาจดูเหมือนว่า ค่าเงินบาทไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก
แต่ในทางกลับกัน หากมองจากกรอบการเคลื่อนไหวระหว่างปีของเงินบาท คงต้องยอมรับว่า เงินบาทปี 2567 แกว่งตัวในกรอบที่กว้างกว่าปี 2566 โดยจากสถิติรายวันของอัตราแลกเปลี่ยน พบว่า ความแตกต่างระหว่างจุดที่แข็งค่าสุดของปี 2567 (32.15 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ) และจุดที่อ่อนค่าสุดของปี 2567 (37.18 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ) มีช่วงห่างกันประมาณ 5.03 บาท ซึ่งมากกว่าช่วงห่าง 4.67 บาทในปี 2566 ซึ่งในด้านหนึ่งสะท้อนถึงความผันผวนของค่าเงินที่เพิ่มขึ้น
ส่วนเงินบาทเปลี่ยนทิศในระหว่างปี 2567 ตามการปรับสัญญาณดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) แม้จะมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทในปี 2567 แต่หนึ่งในปัจจัยที่มีความสำคัญค่อนข้างมากก็คือ มุมมองต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ซึ่ง Fed มีการปรับเปลี่ยนจากสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงเป็นเวลานานเพื่อดูแลเงินเฟ้อในช่วงต้นปี มาเป็นการยอมรับว่า อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ได้ผ่านจุดที่ Peak มาแล้ว ก่อนที่จะส่งสัญญาณเข้าสู่วงจรการลดดอกเบี้ยในช่วงปลายไตรมาสที่ 3/2567 ซึ่งปัจจัยดังกล่าวสะท้อนผ่านภาพการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ขยับอ่อนค่าลงในช่วงครึ่งปีแรก แต่ก็พลิกกลับมาแข็งค่าในช่วงไตรมาส 3/2567 และกลับไปอ่อนค่าอีกครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังชัยชนะของนาย Donald Trump ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ปี 2568 ต้องติดตาม 3 ปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่า ได้แก่
1) ผลกระทบจากนโยบายของนาย Donald Trump ที่อาจมีผลทำให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ขยับสูงขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวย่อมจะมีผลต่อมุมมองและจังหวะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed โดยยิ่งความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ Fed ต้องระมัดระวังมากขึ้นในการพิจารณาจังหวะเวลาของการปรับลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ แนวโน้มการกลับมาปรับเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีน (และอีกหลายๆ ประเทศ) อาจส่งผลกดดันให้เงินหยวนอ่อนค่าลงในลักษณะที่คล้ายกับที่เห็นในรอบการปรับขึ้นภาษีนำเข้าในสมัยแรกที่นาย Donald Trump เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
2) แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน นอกเหนือไปจากผลกระทบของนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของนาย Donald Trump แล้ว คงต้องยอมรับว่า ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ผลทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมีความเปราะบางและอาจต้องเลื่อนเวลาออกไป โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความเปราะบางของภาคอสังหาริมทรัพย์ และสัญญาณอ่อนแอของการใช้จ่ายในประเทศ
ปัจจัยดังกล่าวทำให้ตลาดประเมินว่า ธนาคารกลางจีนอาจจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก (ซึ่งบอนด์ยีลด์อายุ 10 ปีของจีนปรับตัวรับมุมมองดังกล่าวด้วยการร่วงลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นปี 2568) และมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นเงินหยวนอ่อนค่าลงอีกในระหว่างปี และอาจเพิ่มแรงกดดันด้านอ่อนค่าให้กับค่าเงินบาท (ทั้งนี้ ค่า Correlation ระหว่าง USD/THB และ USD/CNY อยู่ที่ระดับประมาณ 0.70 ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนว่า ค่าเงินบาทและค่าเงินหยวนมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวไปในทางเดียวกันค่อนข้างมาก)
3) ปัจจัยพื้นฐานที่อ่อนแอของเศรษฐกิจไทย ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 อาจเติบโตที่ 2.4% ช้าลงกว่าปี 2567 เล็กน้อย ขณะที่ ความเสี่ยงต่อจังหวะการฟื้นตัวที่ล่าช้าของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน และอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจของต่างประเทศ ทำให้ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยลงเพิ่มเติม หลังจากที่มีการปรับลดไปแล้วในรอบการประชุมเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 แรงกดดันเงินบาทอ่อนค่าอาจทยอยเพิ่มขึ้น จากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญของปี 2568 ทั้งในประเด็นของรายละเอียด ความเข้มข้มของมาตรการ และจังหวะเวลาที่มาตรการต่างๆ จะมีผล อย่างไรก็ดี คาดว่า ภาพต่างๆ คงจะทยอยมีความชัดเจนมากขึ้นหลังผ่านพ้นในช่วง 100 วันแรก และทีมเศรษฐกิจของนาย Donald Trump ทยอยเดินหน้าเจรจากับประเทศคู่ค้า และอาจส่งผลทำให้สัญญาณของความขัดแย้งในประเด็นด้านการค้า โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทวีความตึงเครียดมากขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวไม่เพียงจะมีผลต่อค่าเงินหยวนและสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย แต่ยังน่าจะมีผลต่อแนวโน้มการส่งออกและจังหวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีด้วยเช่นกัน
ภายใต้สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบที่ผันผวน และมีแนวโน้มอ่อนค่าไปที่ระดับ 35.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2568 อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามท่าทีของนาย Donald Trump ที่ต้องการให้เงินดอลลาร์ฯ ขยับอ่อนค่าลง ซึ่งอาจสร้างความสับสน กดดันเงินดอลลาร์ฯ และเพิ่มความผันผวนให้กับตลาดด้วยเช่นกัน
Photo by Dylan Calluy on Unsplash
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : SCB EIC ประเมิน ‘หนี้ครัวเรือนไทย’ คลี่คลายช้า แนะทางออกแก้อย่างไรให้ยั่งยืน และตรงกลุ่ม
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine