แบงก์เข้มปล่อยกู้! KKP ชี้ไม่เน้นสินเชื่อโต เพราะความเสี่ยงยังสูง รุกสินเชื่อบ้านกลุ่มบนที่ยังมีกำลังซื้อ - Forbes Thailand

แบงก์เข้มปล่อยกู้! KKP ชี้ไม่เน้นสินเชื่อโต เพราะความเสี่ยงยังสูง รุกสินเชื่อบ้านกลุ่มบนที่ยังมีกำลังซื้อ

ภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ยอดขายรถยนต์ที่ต่ำลง ส่งผลให้ธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อเกินครึ่งอย่างธนาคารเกียรตินาคินภัทร ต้องเร่งปรับตัวหันมาเน้นสินเชื่อบ้าน กลุ่มบนที่ราคา 5 - 7 ล้านบาท ด้านสถานการณ์หนี้เสียแม้จะทรงตัว แต่ยังเห็นความเสี่ยงสูงจากเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน


    อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ตอนนี้ยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อทุกประเภท แต่ยังมีกลุ่มลูกค้าที่ดี คือ High End (ลูกค้ากลุ่มบน) โดยหันมาขยายสินเชื่อบ้านในกลุ่มบ้านราคา 5 - 7 ล้านบาท ที่ยังเติบโตดี ส่วนหนึ่งที่สินเชื่อบ้านของธนาคารยังเติบโตได้ดีมากจากฐานเดิมที่ยังต่ำ 

    ปัจจุบันมีสินเชื่อราว 60,000 ล้านบาท จากฐานสินเชื่อทั้งหมดที่ 400,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15% ซึ่งปัจจุบันเห็นการแข่งขันอยู่บางส่วนแต่เป็นส่วน ดอกเบี้ยลอยตัว เรื่องสินเชื่อยังอยู่โหมดหลบภัยก็อย่าเพิ่งเน้นกำไร

    ทั้งนี้ ทิศทางกำไรไตรมาส 2 ปี 2567 เรายังไม่เน้นเรื่องการโตเป็นหลัก เพราะมีความไม่แน่นอน ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันอีก ราคารถผันผวนมาก ยังไม่ได้กระเตื้อง จึงต้องเน้นเรื่องทำให้ไม่กลายเป็นหนี้เสีย เพื่อที่จะไม่ต้องยึดรถมาขาย แม้ปัจจุบันผลขาดทุนของรถลดลง แต่ไม่ใช่เกิดจากราคารถปรับตัวดีขึ้น ทว่าผลขาดทุนที่ลดลงเพราะต้นทุนทยอยลดลง จกาที่เมื่อทุกธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อรถจึงมีการให้เงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ลดลง

    “(สินเชื่อเช่าซื้อ)รถปีนี้ไม่มีใครโต เพราะไม่ใช่แค่ฝั่งธนาคาร แต่เป็นเรื่องยอดขายที่ลดลง แต่เรื่องราคาของรถที่มีรถยนต์ไฟฟ้ามาแข่ง การตัดแข่งราคากัน หรือการทุ่มตลาดจากตลาดรถของจีน” อภินันท์ กล่าว

    นอกจากนี้ฐานลูกค้าที่ยังแข็งแรงคือ บรรษัทขนาดใหญ่ เพราะเมื่อเทียบกับ บริษัทขนาดกลางยังต้องระวังเรื่องการ Roll over ในตลาดหุ้นกู้ ขณะที่ SME ที่มีความเปราะบางกว่าขนาดใหญ่อยู่แล้ว ขณะเดียวกัน SME บางส่วนก็ไม่มีหลักประกันที่รักษามูลค่าได้ เช่น เครื่องจักร ที่มีค่าเสื่อม จึงต้องใช้หลักประกันที่รักษามูลค่าได้มากกว่า อย่าง ที่ดิน อาคาร มาใช้เพื่อเข้าถึงสินเชื่อและสร้างสภาพคล่องได้

    แนวโน้มหนี้เสียมองว่าทรงตัวแล้ว แม้ส่วนหนึ่งจะเกิดจาก Segment เช่าซื้อรถยนต์ที่มีสัดส่วน 50% ของพอร์ต อาจมีความเสี่ยงมากกว่าพอร์ตสินเชื่อที่อื่น ทำให้ดูเหมือนได้รับผลกระทบเยอะกว่า แต่ในอีกด้านหนึ่งเมื่อเห็นผลกระทบที่เยอะกว่า ทำให้อาจจะหยุดได้เร็วกว่า

    “NPL ไม่ได้บอกภาพทั้งหมดเพราะสินเชื่อบ้านเวลาเป็น npl จะค้างอยู่นานเพราะจะ Write off (ตัดหนี้สูญ) ไม่ค่อยได้เพราะมีหลักประกัน แต่สินเชื่อบางประเภทยึดเร็ว Write off ได้ง่าย อย่างรถ NPL เลยไม่ค่อยพอกแต่ Credit Cost มันสูง เพราะยึดมาแล้วจะกลายเป็น NPA แล้วก็ขาย ดังนั้นสินเชื่อรถหรือสินเชื่อส่วนบุคคลบางธนาคาร 100 ถึง 120 วันก็สามารถ Write off ได้แล้ว ดังนั้นการที่ NPL ไม่เยอะไม่ได้แปลว่าสถานการณ์ดี แต่ต้องดู Write off ร่วมด้วย ดูรถยึดและ Credit Cost ดังนั้น สินเชื่อบ้านจะไม่ค่อย White off ต้องบริหารแก้หนี้กันต่อไป ยึดไม่ได้ หนี้ก็จะพอกอยู่” อภินันท์ กล่าว

    ทั้งนี้ การจัดชั้นเชิงคุณภาพเป็นส่วนจำเป็น ซึ่งเกณฑ์เรื่องระยะเวลา ไม่ทันการ และไม่สามารถทำให้เห็นภาพอย่างชัดเจนหากเจอลูกค้ากลุ่มทีมีการเสี่อมถอย จึงมีการจัดชั้นตามความเสี่ยงต่างๆ (เช่น กลุ่มคนที่มีพฤติกรรมการผ่อนชำระแย่ลง)

    อย่างไรก็ตาม มองว่ามาตรการของรัฐมีความจำเป็น แต่ในเวลาที่ทรัพยากรมีจำกัดควรต้องแบ่งเอาไว้จัดการเรื่องเชิงโครงสร้างพื้นฐาน เรื่องระยะยาวด้วย เพราะ ไม่งั้นจะกระตุ้นไปเรื่อยๆ กระตุ้นทีก็กระตุกขึ้นมากนิดเดียว พอหยุดกระตุ้นก็กลับไปเป็นปัญหาใหม่ ก็ไม่ได้ แล้วประเทศเราก็จะล้าหลังลงไปเรื่อยๆ

   แม้การพัฒนาในระยะยาวเป็นเรื่องยาก เพราะต้องมีความต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่เรื่องเม็ดเงิน แต่เป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน R&D ความสามารถในการแข่งขัน การมีไอเดียใหม่ โซลูชันในการแก้ปัญหาต่างๆ



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ธปท. รับกังวลหนี้เสียรายย่อยเพิ่ม - SME เข้าไม่ถึงสินเชื่อ จับตาหนี้ครัวเรือน Q1/67 ต่ำ 91% เหตุ GDP สูงกว่าคาด

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine