KBank Private Banking แนะรับมือปรากฎการณ์ส่งต่อทรัพย์สินครั้งใหญ่ - Forbes Thailand

KBank Private Banking แนะรับมือปรากฎการณ์ส่งต่อทรัพย์สินครั้งใหญ่

KBank Private Banking เผยธุรกิจครอบครัวเผชิญปัจจัยเสี่ยงครั้งใหญ่ ทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ สงคราม ภัยพิบัติทางธรรมชาติ กระทบมูลค่าทรัพย์สินลดลง จับตาปรากฏการณ์ส่งต่อทรัพย์สินครั้งใหญ่ของโลก มูลค่ากว่า 2,000 ล้านล้านบาท ไทยติดกลุ่มไม่สื่อสาร เสี่ยงธุรกิจล่ม แนะธุรกิจไทยเร่งวางแผนส่งต่อคนรุ่นใหม่ เทรนด์ตั้งสำนักงานครอบครัวเพิ่ม รับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่


    จากการศึกษาร่วมกันระหว่าง KBank Private Banking กับ Lombard Odier พบว่า หลังการระบาดของ โควิด-19 ครอบครัวที่มีความมั่งคั่งสูงส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญกับการวางแผนการส่งต่อทรัพย์สินและธุรกิจมากขึ้น เนื่องมาจากความท้าทายในปัจจุบันที่ส่งผลกระทบให้มูลค่าทรัพย์สินของครอบครัวต้องมีความเสี่ยงที่จะมีมูลค่าลดลง

    ทั้งจากภัยพิบัติตามธรรมชาติที่มีความถี่และรุนแรงขึ้น ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ภาวะสงคราม อัตราเงินเฟ้อ การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ภาษี และข้อบังคับต่างๆ ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ การวางแผนปกป้องทรัพย์สินครอบครัวจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญ ในขณะเดียวกันการวางแผนส่งต่อทรัพย์สินก็เป็นเรื่องที่ต้องทำไปพร้อมๆ กัน


    ผลสำรวจพบว่า การส่งต่อความมั่งคั่งครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยการส่งต่อทรัพย์สินเฉพาะในสหรัฐฯ จะมีมูลค่ากว่า 59 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท โดย 36 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จะถูกส่งต่อให้ทายาท ขณะที่ 27 ล้านล้านเหรียญจะมอบให้องค์กรสาธารณกุศล และ 5.6 ล้านล้านเหรียญ จะเป็นค่าใช้จ่ายด้านภาษี

    “รัฐบาลในหลายประเทศเริ่มให้ความสำคัญกับการเก็บภาษีมรดกมากขึ้น รวมถึงประเทศไทย ตามนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ก็มีแนวคิดในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เพื่อทำให้เกิดความเท่าเทียมในสังคม ซึ่งถือเป็นความท้าทายของคนรุ่นต่อไปที่จะต้องเผชิญความยากในการบริหารทรัพย์สินมากขึ้น และปัญหาสำคัญของคนไทยและชาวเอเชีย คือไม่มีพูดคุยเรื่องดังกล่าวกันในครอบครัว” พีระพัฒน์ เหรียญประยูร Managing Director, Wealth Planning and Non-Capital Market Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึงสถานการณ์ในประเทศไทย


ไม่วางแผนเสี่ยงธุรกิจล่ม

    พีระพัฒน์ กล่าวว่า จากผลสำรวจของ Lombard Odier 5 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง สิงคโปร์ และญี่ปุ่น คาดว่าจะมีการส่งต่อความมั่งคั่งคิดเป็นมูลค่า 2.5 ล้านล้านเหรียญในทศวรรษหน้า พบว่า กลุ่มคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างรุ่น หรือที่เรียกว่า Sandwich Generation ในครอบครัวที่อาจจะประกอบด้วยสมาชิกครอบครัวตั้งแต่ 3 รุ่นขึ้นไป

    ซึ่ง Sandwich Generation นี้ จะเป็นผู้รับบทบาทสำคัญในการปกป้องทรัพย์สินจากปัจจัยความเสี่ยงต่างๆ ไม่ให้มีมูลค่าลดลง ในขณะเดียวกันต้องวางแผนส่งต่อทรัพย์สินของครอบครัวไปยังรุ่นต่อไป โดยที่ยังต้องรับความกดดันจากคนรุ่นพ่อแม่ที่มีทัศนคติต่างกัน


    จากผลสำรวจพบว่า ลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงส่วนใหญ่ในเอเชียแปซิฟิก 80-90% มองว่าการสื่อสารระหว่างรุ่นเป็นสิ่งสำคัญเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการส่งต่อความมั่งคั่ง แต่ 50% มองว่าการสื่อสารระหว่างรุ่นเป็นเรื่องที่ยากและไม่ได้มีการสื่อสารกัน โดยเฉพาะชาวเอเชีย การไม่กล้าพูดคุยเรื่องดังกล่าว เสี่ยงที่จะทำให้ธุรกิจครอบครัวล่มสลาย และเกิดปัญหาตามมาภายหลังได้

    พีระพัฒน์ ยกตัวอย่างลูกค้ารายหนึ่ง ที่รุ่นพ่อมีการซื้อที่ดินไว้จำนวนมาก และไม่แจ้งให้ลูกๆ ทราบ พอต่อมาเสียชีวิตลง จึงเพิ่งรู้ว่ามีการซื้อที่ดินไว้และต้องมาแก้ปัญหาเรื่องการครอบครองปรปักษ์อย่างน้อย 8 แปลง รวมทั้งประเทศไทย มีลักษณะพิเศษที่สามารถถือครองที่ดินไม่จำกัด และคนรุ่นที่ผ่านมาชอบสะสมที่ดิน แต่ด้วยการจัดเก็บภาษีที่ดินในปัจจุบันจะทำให้การถือครองที่ดินเปล่าต้องเสียภาษีจำนวนมาก จากการคำนวณเบื้องต้น หากถือครองที่ดินเปล่าต่อไปรวม 25 ปี อัตราภาษีที่จะต้องจ่ายจะเท่ากับราคาที่ดินที่ซื้อไว้


เทรนด์ใหม่ตั้งสำนักงานครอบครัวจัดการ

    อย่างไรก็ตาม ด้วยความแตกต่างของเจนเนอเรชั่น ทำให้การวางแผนส่งต่อทรัพย์สินมีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเป็นภาระของคนรุ่นตรงกลาง หรือ Sandwich Generation ที่ใน 1 ครอบครัว อาจมี Sandwich Generation มากกว่า 1 รุ่น โดยเฉพาะคนไทย ดังนั้นคนรุ่นใหม่จึงต้องการให้มีมืออาชีพเข้ามาบริหารจัดการผลประโยชน์มากกว่าการส่งต่อมรดกแบบเดิม เช่น คนรุ่นใหม่ไม่อยากถือครองที่ดิน เพราะเป็นภาะที่จะต้องจ่ายภาษี หรือการใช้มืออาชีพเข้ามาบริหารธุรกิจ เพราะพวกเขาต้องการใช้ชีวิตอย่างอิสระ รวมถึงมีมุมมองที่แตกต่างกันรุ่นต่อรุ่นเกี่ยวกับการลงทุน


    “คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ หรือผู้ที่เกิดในยุคเบบี้บูมเมอร์ การลงทุนของเขา คือการฝากเงิน ซึ่งภายใต้สถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบัน การฝากเงินนั้นทำให้มูลค่าของทรัพย์สินลดลง คนรุ่นใหม่จึงนิยมลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัป ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า รวมทั้งมองหามืออาชีพเข้ามาช่วยจัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะกับคนแต่ละเจเนอเรชั่นมากกว่า”

    พีระพัฒน์ กล่าวว่า มุมมองในการบริหารจัดการทรัพย์สินของคนรุ่นใหม่ จึงต้องการให้มืออาชีพเข้ามาช่วยในการวางแผนบริหารจัดการทรัพย์สิน ซึ่งรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากขึ้น คือการตั้งสำนักงานครอบครัว หรือ Family Office ที่มีทั้งการตั้งเป็นบริษัท หรือการให้เลขานุการของกิจการครอบครัวเข้ามาบริหารจัดการใหม่ ทั้งเรื่องการลงทุน ค่าใช้จ่ายด้านภาษี ค่ารักษาพยาบาล รวมไปถึงการวางแผนท่องเที่ยวของคนในครอบครัว เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพย์สินมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเทรนด์การตั้ง Family Office ในสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 5 เท่าในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบันมีประมาณ 1,000 ครอบครัวที่มีการตั้งสำนักงาน ส่วนในไทยมีประมาณ 30 ครอบครัว

    ทั้งนี้ ปัจจัยที่จะช่วยให้การบริหารจัดการทรัพย์สินครอบครัวประสบความสำเร็จ จะต้องมีความโปร่งใส มีการตัดสินใจที่เห็นชอบร่วมกันระหว่างคนแต่ละรุ่น รวมไปถึงการส่งต่อองค์ความรู้ จากรุ่นสู่รุ่น จะช่วยให้การส่งต่อทรัพย์สินสามารถก้าวข้ามปัญหาต่างๆ ไปได้


    “ในฐานะผู้ให้บริการบริหารจัดการทรัพย์สินครอบครัว มองว่าทุกครอบครัวไม่ว่าจะมีทรัพย์สินมากหรือน้อย จำเป็นจะต้องมีการบริหารสินทรัพย์ให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายในอนาคต และต้องไม่ลืมบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนมุมมองทรัพย์สินในครอบครัวให้เป็นองค์รวม ตั้งแต่ในระดับการจัดโครงสร้างการบริหารจัดการ, การลงทุน, การจัดการความเสี่ยง, ระบบบริหารจัดการทรัพย์สิน, การจัดการภาษี, การส่งต่อทรัพย์สิน, การวางแผนผู้สืบทอด สิ่งต้องทำต่อไปก็คือ ต้องมีการสื่อสารภายในครอบครัว ที่โปร่งใส เปิดเผย และเป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างรุ่น ที่สำคัญคือต้องใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับความต้องการและช่วงเวลา” พีระพัฒน์กล่าวทิ้งท้าย


Image by Freepik


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : อัจฉริยะไม่หวั่นไหว หลอมขึ้นมาใหม่ภายใต้แรงกดดัน

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine