ธนาคารกสิกรไทย แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 กำไร 13,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.08%YoY ผลจากการเผชิญแรงกดดันของภาวะอัตราดอกเบี้ย โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 7.23% แม้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยยังเพิ่มขึ้น ส่วนหนี้เสียปรับลดลงเล็กน้อยจากสิ้นปีก่อน
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBank เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ปี 2568 ขยายตัวในกรอบจำกัด แม้การส่งออกสินค้าจะขยายตัวสูงจากการเร่งส่งออกก่อนการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนกลับไม่ได้รับอานิสงส์อย่างเต็มที่ เพราะปัญหาเชิงโครงสร้าง การแข่งขันสูง และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
สำหรับในปี 2568 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำกว่าปีก่อน ทั้งผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และการปรับขึ้นภาษีตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ โดยมาตรการของภาครัฐอาจช่วยประคองเศรษฐกิจได้เพียงบางส่วน เนื่องจากการใช้จ่ายในประเทศยังถูกกดดันจากฐานะทางการเงินที่เปราะบางและภาระหนี้ของภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ธนาคารฯ ยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ และมุ่งดูแลช่วยเหลือลูกค้าในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ทั้งการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม ผ่านการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ 3+1 และการจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Productivity) อย่างต่อเนื่องภายใต้บริบทของเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง
ผลการดำเนินงานของกสิกรไทย ไตรมาส 1 ปี 2568 เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ปรับปรุงใหม่ กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารมีจำนวน 13,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.08% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงจำนวน 2,761 ล้านบาท หรือ 7.23% เป็นผลจากการเผชิญแรงกดดันของภาวะอัตราดอกเบี้ย ประกอบกับการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ให้มีประสิทธิผลสูงสุดอย่างระมัดระวัง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin : NIM) อยู่ที่ระดับ 3.41%
แม้ว่ารายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโตขึ้นจำนวน 1,826 ล้านบาท หรือ 15.39% จากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน รายได้จากการลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ นอกจากนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยยังคงยึดหลักความระมัดระวังอย่างรอบคอบตามที่ได้ปฏิบัติมาอย่างสม่ำเสมอ จึงพิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss : ECL) จำนวน 9,818 ล้านบาท เพื่อให้สำรองฯ อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพียงพอ รองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าปีก่อน และเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนสูง
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 เปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2567 ที่ปรับปรุงใหม่ ธนาคารฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 28.08%
ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2567 ได้แก่
- กำไรสุทธิ (ส่วนที่เป็นของธนาคาร) อยู่ที่ 13,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.08%YoY
- รายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 35,425 ล้านบาท ลดลง 7.23%YoY
- ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.41% (ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1 ปี 2567ที่อยู่ระดับ 3.73%)
- รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอยู่ที่ 13,678 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.39%YoY
- ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอยู่ที่ 20,052 ล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
- สินเชื่อรวมที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต หรือ หนี้เสีย (NPL) ณ สิ้นเดือน มี.ค. 68 อยู่ที่ 90,161 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นเดือน ธ.ค. 67 ที่อยู่ระดับ 91,309 ล้านบาท
- อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.19% ส่วนอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ที่ 159.49%
- ธนาคารตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 9,818 ล้านบาท
ณ 31 มี.ค. 2568 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 4.35 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.33% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 (ที่ปรับปรุงใหม่) ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนสุทธิ ซึ่งเป็นการลงทุนตามการคาดการณ์ภาวะตลาดและทิศทางอัตราดอกเบี้ย
ส่วนเงินให้สินเชื่อสุทธิอยู่ที่ 2.43 ล้านล้านบาท ลดลง 2.03% เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยธนาคารยังคงมุ่งเน้นการขยายสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ ให้ความสำคัญกับคุณภาพสินทรัพย์ และการเพิ่มผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยงให้เหมาะสม ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ 31 มี.ค. 2568 อยู่ที่ 20.52%
ภาพ: กสิกรไทย
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : กรุงศรีเผยผลกำไรสุทธิไตรมาสแรกปี 68 ที่ 7,530 ล้าน ลดลง 0.1%YoY เหตุรายได้ดอกเบี้ยสุทธิร่วง 7.6%
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine