‘กสิกรไทย’ ดันยุทธศาสตร์ยั่งยืนใหม่ ตั้งเป้าอัดฉีดเม็ดเงิน เป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 - Forbes Thailand

‘กสิกรไทย’ ดันยุทธศาสตร์ยั่งยืนใหม่ ตั้งเป้าอัดฉีดเม็ดเงิน เป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573

กสิกรไทยเดินหน้าความยั่งยืน บนแนวคิดยุทธศาสตร์ใหม่ เน้นการจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม ผสานความยั่งยืนไปในทุกมิติการทำงาน ส่งมอบทั้งการเงินและองค์ความรู้ เพิ่มเป้าอัดฉีดเม็ดเงินความยั่งยืน เป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) พร้อมตั้งเป้าหมายเป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด


    จงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยยังเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ มาตรการการค้าจากคู่ค้าสำคัญ เช่น EU CBAM ที่จะเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนตั้งแต่ปี 2569 โดยคาดว่าจะส่งผลต่อการส่งออกไทยเพิ่มขึ้นจากมูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท เป็น 2.8 หมื่นล้านบาทภายในปี 2573

    เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลง ธนาคารกสิกรไทยได้ปรับยุทธศาสตร์ความยั่งยืนจากแนวทาง ESG-based Strategy ไปสู่ Issue-based Strategy ที่เน้นการจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม ครอบคลุมสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล พร้อมกำหนด “ความมุ่งหมาย” ที่ธนาคารจะส่งมอบให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย


    ยุทธศาสตร์ใหม่นี้มี 3 เป้าหมายหลัก ได้แก่ การเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น (Most Trusted Bank) การเสริมความยืดหยุ่นเพื่ออนาคตร่วมกัน (Future-Ready Resilience) และการสร้างการเติบโตที่ครอบคลุมและทั่วถึง (Inclusive Growth)

    ด้านการสนับสนุนทางการเงิน ธนาคารได้ปรับเป้าหมายสินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืน เป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมุ่งมั่นพัฒนา Beyond Banking Solution เพื่อส่งมอบ Climate Solution ที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ลูกค้า และส่งเสริมการสร้าง Carbon Ecosystem ที่ครอบคลุมทุกมิติของการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ การเป็นที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคธุรกิจที่ต้องการปรับตัว

    พร้อมพัฒนาเครื่องมือ KClimate1.5 สำหรับการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก การจัดตั้ง Creative Climate Research Center เป็นศูนย์กลางองค์ความรู้และความร่วมมือเพื่อรับมือกับปัญหาโลกร้อน การริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อสร้าง Carbon Ecosystem ในสังคม เช่น Watt’s Up แพลตฟอร์มสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า แพลตฟอร์ม Green Pass สำหรับการขอใบรับรอง RECs และแพลตฟอร์ม K-GreenSpace ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงโซลูชัน Green Living ได้ง่ายขึ้น

    นอกจากนี้ ธนาคารเชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จึงร่วมกับพันธมิตรจากภาคเอกชน ภาครัฐ ภาคการเงิน และภาควิชาการ จัดตั้ง “เครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย” (Thailand Climate Business Network: Thai CBN) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 34 องค์กร ร่วมกันผลักดันแนวปฏิบัติด้าน Climate ที่นำไปใช้ได้จริง ตั้งแต่ระดับ SME จนถึงข้อเสนอเชิงนโยบายระดับประเทศ โดยเครือข่าย Thai CBN ได้จัดทำ E-Handbook for Greener SMEs และ White Paper - Climate Ecosystem Collaboration เพื่อส่งมอบให้ภาครัฐ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างพลังร่วมระหว่างภาคธุรกิจและภาครัฐในการเร่งการเปลี่ยนผ่านของประเทศอย่างยั่งยืนและมีส่วนร่วม

    จงรัก กล่าวอีกว่า ธนาคารไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้สินเชื่อหรือบริการทางการเงิน แต่ยังเป็นผู้เสริมสร้างศักยภาพเพื่อให้ลูกค้า ธุรกิจ และสังคมมีความยืดหยุ่นและแข็งแกร่ง ด้วยการส่งมอบโซลูชันทางการเงินที่ครอบคลุม ควบคู่กับการให้องค์ความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

    โดยที่ผ่านมามีการส่งมอบโซลูชันทางการเงินที่ครอบคลุม ผ่านการปฏิรูปกระบวนการเครดิตอย่างครบวงจร บนการบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงรุก ควบคู่กับการผสานเทคโนโลยี Data & AI ส่งมอบสินเชื่อที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับศักยภาพของผู้รับ มีสินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางขึ้นไป และ Project Finance ผ่านการประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ครบ 100% และเพิ่มเป้าหมายสินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืนเป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 (ค.ศ.2030)

    นอกจากนี้ยังมีการส่งมอบโซลูชันการเงินที่ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การสร้างการเข้าถึงสินเชื่อบุคคลให้แก่ลูกค้าสินเชื่อรายเล็กผ่าน KIV การส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่าน KLeasing และการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมให้เปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานทางเลือกผ่านโซลูชันเพื่อธุรกิจโดย KF&E ตลอดจนการเสริมสร้างการลงทุนที่ยั่งยืนผ่าน KAsset ที่เพิ่มโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่ขับเคลื่อนบนหลักการ ESG

    โดยปัจจุบัน KAsset ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ของประเทศใน ESG Fund และ SRI Fund ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การจัดการ (AUM) กว่า 3.89 หมื่นล้านบาท และ 3.79 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้งมี Beacon Impact Fund ที่มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพที่สร้างผลกระทบเชิงบวก

    ในด้านการดำเนินงาน ธนาคารตั้งเป้า Net Zero ภายในปี 2573 โดยปี 2567 สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้แล้ว 17.02% จากปีฐาน 2563 ผ่านมาตรการต่างๆ เช่น การติดตั้งโซลาร์รูฟทุกอาคารหลักและสาขา 161 แห่ง รวมถึงการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแล้วกว่า 354 คัน

    จงรักย้ำว่า การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน กสิกรไทยพร้อมเป็นกลไกกลางเชื่อมโยงภาคธุรกิจ ลูกค้า และสังคม เพื่อให้ทุกชีวิตและทุกธุรกิจสามารถก้าวข้ามความท้าทาย และเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘กสิกร’ จับมือ ‘MTS Gold’ ให้ออมทองเป็นเงินบาทผ่าน K PLUS เริ่มออมขั้นต่ำ 500 บาท ไม่มีค่าธรรมเนียม

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine