ตลท. หวังปี 67 ตลาดหุ้นไทยฟื้นดีกว่าปีก่อน ชี้บาทอ่อนเพราะเงินทุนต่างชาติไหลออก-ลุ้นกนง.ลดดอกเบี้ยฯ พรุ่งนี้ - Forbes Thailand

ตลท. หวังปี 67 ตลาดหุ้นไทยฟื้นดีกว่าปีก่อน ชี้บาทอ่อนเพราะเงินทุนต่างชาติไหลออก-ลุ้นกนง.ลดดอกเบี้ยฯ พรุ่งนี้

ตลท. มองตลาดหุ้นไทยปี 67 จากความไม่แน่นอนที่ลดลง โดยหวังว่าปีนี้จะพลิกฟื้นดีกว่าปีก่อน ขณะที่สถานการณ์บาทอ่อนในช่วงนี้เหตุเพราะเม็ดเงินลงทุนไหลออกจากหุ้นขนาดใหญ๋-ต่างชาติพาเงินปันผลกลับบ้าน โดยไตรมาส 1/67 พบว่าต่างชาติขายสุทธิ 68,862 ล้านบาท จับตาโอกาสการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมกนง. พรุ่งนี้


    นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า ปี 2567 ยังเป็นปีที่เหนื่อยมาก แม้ความไม่แน่นอนจะน้อยลงจากสถานการณ์ต่างๆ ทั่วโลก แต่เชื่อว่าช่วงหลังจากนี้ตลาดหุ้นไทยจะเห็น Turning point หรือจุดเปลี่ยนเพราะเชื่อว่าภาครัฐจะมีการใช้จ่ายได้มากขึ้น ขณะที่ภาคธุรกิจที่เข้มแข็งเริ่มกลับมาแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นหากปีนี้ไม่มีเหตุไม่คาดฝันประเมินว่าตลาดหุ้นจะดีกว่าปีก่อน แต่จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ต่างๆ ยังแนะนำให้นักลงทุนควรมุ่งเน้นการใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์ยิ่งขึ้น

    ขณะที่เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าเกิดขึ้นเพราะเงินทุนต่างชาติไหลออก โดยเฉพาะจากหุ้นขนาดใหญ่ อีกทั้งเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างชาติจะนำเงินปันผลที่ได้กลับไปยังประเทศของตน แม้เดือน ก.พ. 2567 ผู้ลงทุนต่างชาติจะกลับมาสู่ตลาดหุ้นไทย แต่เดือน มี.ค. ที่ผ่านมามีการขายสุทธิ 41,238 ล้านบาท ส่งผลให้ 3 เดือนแรกของปี 67 มีการขายสุทธิรวม 68,862 ล้านบาท โดยหลังจากนี้มองว่า สถานการณ์ผู้ลงทุนต่างชาติจะกลับมาเป็นซื้อสุทธิได้ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย ได้แก่ 1) สถานการณ์เศรษฐกิจไทยและโลก 2) ทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย และ 3) ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน
*เดือน มี.ค. 67 ผู้ลงทุนต่างชาติยังมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 23

    ทั้งนี้ ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายมองว่า ปัจจุบันเรื่องต่างๆ เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น และจากสถานการณ์นี้ทำให้เห็นแนวโน้มและโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจพิจารณาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะสูงขึ้น (จากกรรมการที่ตัดสินใจลดดอกเบี้ยฯ มีมากขึ้น) โดยต้องจับตาการประชุม กนง. ในวันที่ 10 เม.ย. 2567 นี้

    อย่างไรก็ตาม จากกรณีต่างๆ ในตลาดหุ้นช่วงที่ผ่านมา ทั้งบริษัทจดทะเบียนเลื่อนการชำระหุ้นกู้ (มองว่าเป็นวงจรธุรกิจที่อาจเกิดขึ้นในบางบริษัทฯ ที่บางช่วงสภาพคล่องไม่ดี) และกรณีผลกระทบอื่นๆ ซึ่งทำให้ทาง ตลท. ออกแผนสร้างความเชื่อมั่นในนักลงทุน ผ่านการปรับเกณฑ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และให้มีการเปิดเผยข้อมูล รวมถึงการใช้เครื่องมือแจ้งเตือนนักลงทุนให้รวดเร็วรอบด้าน ทั้งนี้ ประเมินว่าจะดำเนินการทั้งหมดเสร็จสิ้นในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้

    ขณะที่ หลังจากการขยายเวลาซื้อขาย (ขยายเวลาเทรด) ของตลาดหุ้นไทย กลับพบว่า ธุรกรรมการซื้อขายกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นนั้น ตนมองว่า การปรับขยายเวลาเทรดนั้นทำเพื่อให้นักลงทุนสะดวกยิ่งขึ้น และมีช่วงเวลาในการซื้อขายใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ ไม่ได้หวังว่าการซื้อขายจะเพิ่มขึ้นมากนัก

    นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ไตรมาส 1/67 เศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณชะลอตัวลง และมีปัจจัยท้าทายหลายด้าน เช่น ธนาคารกลางสหรัฐที่อาจชะลอการลดดอกเบี้ยออกไป ฯลฯ ในส่วนของไทยเศรษฐกิจยังมีแรงส่งจากการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาวะตลาดหลักทรัพย์ในเดือน มี.ค. 2567 โดย SET Index ปิดที่ 1,377.94 จุด ยังเพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้า (ลดลง 2.7% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า) ถือว่ายังสอดคล้องกับภูมิภาค โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มบริการ กลุ่มการเงิน และ กลุ่มทรัพยากร

    ขณะที่ในเดือน มี.ค. 2567 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 42,782 ล้านบาท ลดลง 30.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 499,897 สัญญา เพิ่มขึ้น 26.9% จากเดือนก่อน

    อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 1/67 นี้ ยังเห็นสัญญาณเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในหุ้นขนาดใหญ่ ทำให้หุ้นขนาดกลางและเล็กได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนมากยิ่งขึ้น แต่หากพิจารณา Earning Yield Gap พบว่าหุ้นใน SET50 ยังมี Valuation ที่ต่ำกว่าหุ้นขนาดกลางและเล็ก

     นอกจากนี้ ในช่วงเดือน เม.ย. พบว่าการซื้อขายโดยเฉลี่ยแล้วจะลดลง 20% จากช่วงเวลาปกติ เพราะมีวันหยุดค่อนข้างมากโดยเดือน เม.ย. 67 ปีนี้คาดว่าจะลดลง 22%


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 'ADVICE' ยอดขายปี 67 โตกว่า 10% 'โบรก' แนะราคาเหมาะสมที่ 6.60 บาท

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine