บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจโลกและการลงทุนปี 2568 มีความผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ แนะนำการลงทุนแบบเก็งกำไร (Trading) พร้อมชี้ให้จับตานโยบายฝั่งสหรัฐอเมริกาหลัง Donald Trump เข้าพิธีสาบานตนในวันที่ 20 มกราคมนี้ สำหรับตลาดหุ้นไทยยังมีหวังและ SET Index อาจปรับตัวขึ้นไป 1550-1600 จุดในปีนี้
สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “ภาพรวมการลงทุนในปี 2568 จะอยู่ในสภาพ ‘ความผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ’ จึงประเมินว่ากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับปีงูเล็กนี้คือ ‘การลงทุนแบบเก็งกำไร (Trading)’ ซึ่งต่างจากปีที่ 2567 ผ่านมาที่เคยให้มุมมองว่าเป็นปีแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ A Year of Value Investing เนื่องจากภาพรวมตลาดหุ้นที่ราคาไม่ได้ undervalue เหมือนกับช่วงต้นปี 2567 แล้ว”
ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เผยว่า ปี 2568 โลกกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ โดยมีแรงขับเคลื่อน 4 ประการที่จะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก ได้แก่
1. Transition - InnovestX มองว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเดินทางสู่ภาวะ Soft Landing จากเศรษฐกิจที่ชะลอลง และเงินเฟ้อที่ลดลง โดย Fed จะลดดอกเบี้ยต่อเนื่องสู่ระดับ 3.4%
2. Trump - การกลับมาของนโยบาย America First ทั้งด้านการค้า การเข้าเมือง และการคลัง หลัง Trump เตรียมหวนคืนสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สร้างความกังวลต่อเสถียรภาพทางการคลังและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
3. Technology - Trump ได้ที่ปรึกษาพิเศษอย่าง Elon Musk มาร่วมปฏิรูประบบราชการและผลักดันความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยคาดว่าจะมีลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับ AI มากถึง 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในช่วงปี 2024-2027 นอกจากนี้เทคโนโลยีสีเขียวซึ่งเป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้ความสนใจเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมยังก้าวหน้าขึ้นจากต้นทุนที่ลดลง
4. Turmoil - ความปั่นป่วนทั่วโลก อันเนื่องมาจากความปั่นป่วนในตลาดการเงินในมีความกังวลต่อนโยบายการคลังและภาวะเงินเฟ้อ ตลอดจนความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ อาทิ วิกฤตยูเครน ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และการเผชิญหน้าในทะเลจีนใต้
ส่วนเศรษฐกิจไทยก็กำลังเผชิญความท้าทายสำคัญ 4 ประการเช่นกัน ได้แก่
1. Tightened Economy - ภาคการผลิตของไทยกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
2. Time to Cut - นโยบายการเงินตึงตัวเกินไป ธปท. ต้องพิจารณาลดดอกเบี้ยเร็วและต่อเนื่อง
3. Tax Reform - ภาครัฐจำเป็นต้องปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ เพื่อลดความเสี่ยงวิกฤตการคลัง แต่ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไม่ให้กระทบเศรษฐกิจ
4. Temperature Rising - ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรง ทำให้ไทยต้องมีแผนการด้านสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจน
“InnovestX คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2.7% จากปัจจัยหนุนด้านนโยบายการคลังที่ยังผ่อนคลาย ขณะที่นโยบายการเงินขึ้นอยู่กับการลดดอกเบี้ยของธปท. เป็นหลัก โดยหากลดช้าจะทำให้เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ณ เดือนมกราคม 2568 เราคาดการณ์ว่าการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนเติบโต 0.5% และ 2.2% ขณะที่นักท่องเที่ยวคาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคน ด้านการส่งออกมีแนวโน้มไม่ขยายตัว” ดร. ปิยศักดิ์ กล่าว
สุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ตั้งสมมติฐานว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทย ณ สิ้นปี 2568 จะลดลงสู่ 1.5% ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent จะลดลงเหลือ 75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยมองว่าตลาดน้ำมันอยู่ในภาวะอุปทานส่วนเกิน แต่การคว่ำบาตรรัสเซียของสหรัฐฯ ที่แรงขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนระยะสั้น
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดในปีนี้ ได้แก่ ขนส่ง ค้าปลีก อาหาร พลังงาน และ ICT แต่กลุ่มพลังงานและปิโปตรเคมียังต้องระวังความผันผวนสูงตามราคาโภคภัณฑ์
สุทธิชัย เน้นย้ำให้จับตานโยบายด้านเศรษฐกิจและการเมืองโลกของ Trump รวมไปถึงความเสี่ยงเงินเฟ้อที่จะกระทบทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ในส่วนของฝั่งเอเชียต้องติดตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนว่าจะรับมือกับนโยบายการค้าสหรัฐฯ ได้มากน้อยแค่ไหน จะหนุน GDP จีนให้โตตามเป้าได้หรือไม่ สำหรับไทยให้ติดตามนโยบายการคลังของไทย เสถียรภาพด้านการเมือง และผลประกอบการตลาดหุ้นไทย
วิศกรณ์ คีรีวรรณ, CFA, ผู้อำนวยการ Investment Strategist ฝ่าย Wealth Products & Strategy บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ชี้ว่า “การจัดสรรเงินลงทุนปี 2568 ยังคงแนะนำลงทุนในตราสารทุนมากกว่าตราสารหนี้ โดยมีการใช้ทองคำในการกระจายความเสี่ยง สิ่งที่นักลงทุนควรคำนึงอยู่เสมอในปี 2568 ก็คือ ‘การเลือกลงทุน’ เนื่องจากเป็นปีแห่งการเข้าสู่ภาวะปกติ (Normalization) ดังนั้นการเติบโตของกำไรตลาดดังเช่นในปี 2567 นั้นอาจจะไม่ได้เห็นในปีนี้”
นอกจากนี้ นักลงทุนต้องเตรียมตัวเผชิญกับสิ่งไม่คาดฝัน หากมองย้อนไปในปี 2567 ที่ผ่านมา บรรดานักวิเคราะห์มักมีการคาดการณ์ต่างๆ ผิดบ่อยครั้ง โดยมักประเมินในแง่บวกหรือลบมากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดการเงินมีความผันผวนมากเป็นพิเศษ
และที่ขาดไม่ได้คือการกลับมาของ Trump ซึ่งจะสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม และกฎหมาย ทำให้การลงทุนในปี 2568 และอีก 4 ปีต่อจากนี้ต้องจับตาดูนโยบายสหรัฐฯ เป็นตัวตั้งตนในการเลือกสินทรัพย์ลงทุนตามนโยบาย American 1st Policy
“เราแนะนำให้ ‘เลือกลงทุน’ ในหุ้นกลุ่มเงินและหุ้นขนาดกลาง-เล็กสไตล์คุณค่าของสหรัฐฯ เพื่อรอรับจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของ Trump ที่จะมาถึง พร้อมทั้งเน้นลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่นและได้รับกระทบด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าในอดีตอย่างตลาดหุ้นจีนและเวียดนาม ในขณะที่ด้านตราสารหนี้นั้นเราแนะนำให้นักลงทุนในตราสารหนี้โลกที่มีอายุ (Duration) ไม่เกิน 3 - 5 ปี เพื่อล็อกผลตอบแทนและกระจายเสี่ยงในทองคำควบคู่กันไปด้วย” วิศกรณ์ กล่าว
ขณะที่ สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เผยว่า “ภาพรวมและกลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีแรกมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มดีและแข็งแกร่งกว่าภูมิภาคอื่น แนวโน้มดอกเบี้ยยังเป็นการลดลงตามท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมไปถึงมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศของ Trump ซึ่งมีการลดค่าใช้จ่ายและลดภาษีเป็นมาตรการสำคัญ”
แนะนำ กลุ่มการเงินและหุ้นขนาดเล็กและหุ้นที่ได้ประโยชน์ด้านภาษีที่ลดลง ได้แก่ หุ้น HD, V, COST, WMT
“ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยการท่องเที่ยว การบริโภค และการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก ยังมีแนวโน้มที่ดี เศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะที่สมดุล นอกจากนั้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการลดดอกเบี้ยจะช่วยลดผลจากการชะลอตัวลงของการส่งออกได้” สิทธิชัย กล่าว
แนะนำ หุ้นขนาดใหญ่ เน้นตั้งรับในกลุ่มที่มีสัดส่วนภายในประเทศสูงใน 4 ธีม ได้แก่
1) Value ได้แก่ AOT BBL CPALL
2) Dividend ได้แก่ AP BCP LHHOTEL
3) Laggard ได้แก่ BCH GPSC HMPRO
4) Mid-Small cap growth ได้แก่ AMATA AU INSET
คำเตือน - การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ภาพ: InnovestX
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : มุมมองจาก ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ‘อาหารและบริการ’ คือทางรอดไทย! หลังนโยบายทรัมป์สั่นคลอนระเบียบโลก
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine