InnovestX มองเศรษฐกิจปี 68 ผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ แนะจับตาสหรัฐฯ หลังการกลับมาของประธานาธิบดี Donald Trump - Forbes Thailand

InnovestX มองเศรษฐกิจปี 68 ผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ แนะจับตาสหรัฐฯ หลังการกลับมาของประธานาธิบดี Donald Trump

บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจโลกและการลงทุนปี 2568 มีความผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ แนะนำการลงทุนแบบเก็งกำไร (Trading) พร้อมชี้ให้จับตานโยบายฝั่งสหรัฐอเมริกาหลัง Donald Trump เข้าพิธีสาบานตนในวันที่ 20 มกราคมนี้ สำหรับตลาดหุ้นไทยยังมีหวังและ SET Index อาจปรับตัวขึ้นไป 1550-1600 จุดในปีนี้


    สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “ภาพรวมการลงทุนในปี 2568 จะอยู่ในสภาพ ‘ความผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ’ จึงประเมินว่ากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับปีงูเล็กนี้คือ ‘การลงทุนแบบเก็งกำไร (Trading)’ ซึ่งต่างจากปีที่ 2567 ผ่านมาที่เคยให้มุมมองว่าเป็นปีแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ A Year of Value Investing เนื่องจากภาพรวมตลาดหุ้นที่ราคาไม่ได้ undervalue เหมือนกับช่วงต้นปี 2567 แล้ว”



    ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เผยว่า ปี 2568 โลกกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ โดยมีแรงขับเคลื่อน 4 ประการที่จะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก ได้แก่

    1. Transition - InnovestX มองว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเดินทางสู่ภาวะ Soft Landing จากเศรษฐกิจที่ชะลอลง และเงินเฟ้อที่ลดลง โดย Fed จะลดดอกเบี้ยต่อเนื่องสู่ระดับ 3.4%

    2. Trump - การกลับมาของนโยบาย America First ทั้งด้านการค้า การเข้าเมือง และการคลัง หลัง Trump เตรียมหวนคืนสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สร้างความกังวลต่อเสถียรภาพทางการคลังและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

    3. Technology - Trump ได้ที่ปรึกษาพิเศษอย่าง Elon Musk มาร่วมปฏิรูประบบราชการและผลักดันความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยคาดว่าจะมีลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับ AI มากถึง 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในช่วงปี 2024-2027 นอกจากนี้เทคโนโลยีสีเขียวซึ่งเป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้ความสนใจเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมยังก้าวหน้าขึ้นจากต้นทุนที่ลดลง

    4. Turmoil - ความปั่นป่วนทั่วโลก อันเนื่องมาจากความปั่นป่วนในตลาดการเงินในมีความกังวลต่อนโยบายการคลังและภาวะเงินเฟ้อ ตลอดจนความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ อาทิ วิกฤตยูเครน ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และการเผชิญหน้าในทะเลจีนใต้

    ส่วนเศรษฐกิจไทยก็กำลังเผชิญความท้าทายสำคัญ 4 ประการเช่นกัน ได้แก่

    1. Tightened Economy - ภาคการผลิตของไทยกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน

    2. Time to Cut - นโยบายการเงินตึงตัวเกินไป ธปท. ต้องพิจารณาลดดอกเบี้ยเร็วและต่อเนื่อง

    3. Tax Reform - ภาครัฐจำเป็นต้องปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ เพื่อลดความเสี่ยงวิกฤตการคลัง แต่ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไม่ให้กระทบเศรษฐกิจ

    4. Temperature Rising - ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรง ทำให้ไทยต้องมีแผนการด้านสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจน

    “InnovestX คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2.7% จากปัจจัยหนุนด้านนโยบายการคลังที่ยังผ่อนคลาย ขณะที่นโยบายการเงินขึ้นอยู่กับการลดดอกเบี้ยของธปท. เป็นหลัก โดยหากลดช้าจะทำให้เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ณ เดือนมกราคม 2568 เราคาดการณ์ว่าการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนเติบโต 0.5% และ 2.2% ขณะที่นักท่องเที่ยวคาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคน ด้านการส่งออกมีแนวโน้มไม่ขยายตัว” ดร. ปิยศักดิ์ กล่าว



    สุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ตั้งสมมติฐานว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทย ณ สิ้นปี 2568 จะลดลงสู่ 1.5% ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent จะลดลงเหลือ 75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยมองว่าตลาดน้ำมันอยู่ในภาวะอุปทานส่วนเกิน แต่การคว่ำบาตรรัสเซียของสหรัฐฯ ที่แรงขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนระยะสั้น

    สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดในปีนี้ ได้แก่ ขนส่ง ค้าปลีก อาหาร พลังงาน และ ICT แต่กลุ่มพลังงานและปิโปตรเคมียังต้องระวังความผันผวนสูงตามราคาโภคภัณฑ์

    สุทธิชัย เน้นย้ำให้จับตานโยบายด้านเศรษฐกิจและการเมืองโลกของ Trump รวมไปถึงความเสี่ยงเงินเฟ้อที่จะกระทบทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ในส่วนของฝั่งเอเชียต้องติดตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนว่าจะรับมือกับนโยบายการค้าสหรัฐฯ ได้มากน้อยแค่ไหน จะหนุน GDP จีนให้โตตามเป้าได้หรือไม่ สำหรับไทยให้ติดตามนโยบายการคลังของไทย เสถียรภาพด้านการเมือง และผลประกอบการตลาดหุ้นไทย

    วิศกรณ์ คีรีวรรณ, CFA, ผู้อำนวยการ Investment Strategist ฝ่าย Wealth Products & Strategy บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ชี้ว่า “การจัดสรรเงินลงทุนปี 2568 ยังคงแนะนำลงทุนในตราสารทุนมากกว่าตราสารหนี้ โดยมีการใช้ทองคำในการกระจายความเสี่ยง สิ่งที่นักลงทุนควรคำนึงอยู่เสมอในปี 2568 ก็คือ ‘การเลือกลงทุน’ เนื่องจากเป็นปีแห่งการเข้าสู่ภาวะปกติ (Normalization) ดังนั้นการเติบโตของกำไรตลาดดังเช่นในปี 2567 นั้นอาจจะไม่ได้เห็นในปีนี้”



    นอกจากนี้ นักลงทุนต้องเตรียมตัวเผชิญกับสิ่งไม่คาดฝัน หากมองย้อนไปในปี 2567 ที่ผ่านมา บรรดานักวิเคราะห์มักมีการคาดการณ์ต่างๆ ผิดบ่อยครั้ง โดยมักประเมินในแง่บวกหรือลบมากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดการเงินมีความผันผวนมากเป็นพิเศษ

    และที่ขาดไม่ได้คือการกลับมาของ Trump ซึ่งจะสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม และกฎหมาย ทำให้การลงทุนในปี 2568 และอีก 4 ปีต่อจากนี้ต้องจับตาดูนโยบายสหรัฐฯ เป็นตัวตั้งตนในการเลือกสินทรัพย์ลงทุนตามนโยบาย American 1st Policy

    “เราแนะนำให้ ‘เลือกลงทุน’ ในหุ้นกลุ่มเงินและหุ้นขนาดกลาง-เล็กสไตล์คุณค่าของสหรัฐฯ เพื่อรอรับจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของ Trump ที่จะมาถึง พร้อมทั้งเน้นลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่นและได้รับกระทบด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าในอดีตอย่างตลาดหุ้นจีนและเวียดนาม ในขณะที่ด้านตราสารหนี้นั้นเราแนะนำให้นักลงทุนในตราสารหนี้โลกที่มีอายุ (Duration) ไม่เกิน 3 - 5 ปี เพื่อล็อกผลตอบแทนและกระจายเสี่ยงในทองคำควบคู่กันไปด้วย” วิศกรณ์ กล่าว

    ขณะที่ สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เผยว่า “ภาพรวมและกลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีแรกมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มดีและแข็งแกร่งกว่าภูมิภาคอื่น แนวโน้มดอกเบี้ยยังเป็นการลดลงตามท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมไปถึงมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศของ Trump ซึ่งมีการลดค่าใช้จ่ายและลดภาษีเป็นมาตรการสำคัญ”

    แนะนำ กลุ่มการเงินและหุ้นขนาดเล็กและหุ้นที่ได้ประโยชน์ด้านภาษีที่ลดลง ได้แก่ หุ้น HD, V, COST, WMT



    “ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยการท่องเที่ยว การบริโภค และการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก ยังมีแนวโน้มที่ดี เศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะที่สมดุล นอกจากนั้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการลดดอกเบี้ยจะช่วยลดผลจากการชะลอตัวลงของการส่งออกได้” สิทธิชัย กล่าว

    แนะนำ หุ้นขนาดใหญ่ เน้นตั้งรับในกลุ่มที่มีสัดส่วนภายในประเทศสูงใน 4 ธีม ได้แก่

    1) Value ได้แก่ AOT BBL CPALL

    2) Dividend ได้แก่ AP BCP LHHOTEL

    3) Laggard ได้แก่ BCH GPSC HMPRO

    4) Mid-Small cap growth ได้แก่ AMATA AU INSET



คำเตือน - การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน


ภาพ: InnovestX


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : มุมมองจาก ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ‘อาหารและบริการ’ คือทางรอดไทย! หลังนโยบายทรัมป์สั่นคลอนระเบียบโลก

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine