InnovestX ปรับเป้าหุ้นไทยไตรมาส 2 ปี 68 เหลือ 1,350 จุด ชี้แผ่นดินไหวกระทบสั้นใน ‘อสังหา-คอนโดสูง’ - Forbes Thailand

InnovestX ปรับเป้าหุ้นไทยไตรมาส 2 ปี 68 เหลือ 1,350 จุด ชี้แผ่นดินไหวกระทบสั้นใน ‘อสังหา-คอนโดสูง’

InnovestX ปรับเป้าหุ้นไทยไตรมาส 2 ปี 68 เหลือ 1,350 จุดจากเดิม 1,500 จุด เพราะความผันผวนยังสูง ชี้แผ่นดินไหวกระทบแค่ระยะสั้น เมื่อรวมผลความกังวลสงครามการค้าที่ยังคงอยู่อาจปรับตัวลดลงมาบริเวณ 1,100-1,130 จุด แต่ยังคงเห็นผลกระทบในกลุ่ม ‘อสังหา-ประกัน-ท่องเที่ยว-ขนส่งทางอากาศ’ ซึ่งยังมีกลุ่มที่ได้ผลบวกทางอ้อมได้แก่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง-รับเหมาฯ


    นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาสแรกปี 2568 หุ้นไทยอ่อนแอลงสอดคล้องกับหุ้นโลกที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ที่มาเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาด ซึ่งระดับดัชนี SET Index ที่ 1,100-1,130 จุด กลายเป็นโอกาสในการลงทุนเก็งกำไรระยะสั้น

    อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตามองปัจจัยใหม่ๆ อย่างผลของมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ตลาดทุนไทย รวมถึงผลกระทบของสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น (เช่น อาจมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มอสังหาฯ หรือไม่) ไปจนถึงแรงกดดันจากนโยบายการค้า


    ทั้งนี้ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ ได้ปรับลดเป้าหมาย SET Index ไตรมาส 2 ปี 2568 ลงมาเหลือ 1,350 จุด จากเดิม 1,550 จุด สาเหตุเพราะแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่เผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก แต่ยังมองว่าในไตรมาส 2/2568 ยังมีโอกาสฟื้นตัวจาก valuation ที่น่าดึงดูด และมาตรการจากภาครัฐ โดยมองว่ากรณีแผ่นดินไหวเป็นปัจจัยชั่วคราวที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทย และยังคาดว่าปี 2568 GDP ไทยจะอยู่ที่ 2.5%

สุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. อินโนเวสท์ เอกซ์


    นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า กรณีแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ผ่านมา (28 มี.ค. 68) ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นกลุ่มอสังหา, กลุ่มประกัน, กลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่มขนส่งทางอากาศ ให้ปรับตัวลดลง

    ทั้งนี้ หากเทียบกับภัยพิบัติธรรมชาติครั้งใหญ่อย่างสึนามิในปี 2547 พบว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงราว 1-2 วัน จึงต้องติดตามว่าหลังจากนี้จะฟื้นเร็วแค่ไหน โดยครั้งนี้มองว่าตลาดมีการรับรู้ทางราคาไประดับหนึ่งแล้ว เพราะเห็นดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ยังต้องจับตามองว่าผลกระทบรอบสองที่อาจเกิดขึ้น แม้ว่าประชาชนจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ แต่ประชาชนบางส่วนยังมีความกังวลจาก Aftershock ที่อาจกระทบต่อไทย (เช่น คนจะชะลอการตัดสินใจในการซื้อคอนโดฯ หรือไม่) จึงต้องติดตามว่าการตรวจสอบความแข็งแรงของอาคารจะเร็วเพียงใด และความเชื่อมั่นจะฟื้นกลับมาอย่างไร

    ดังนั้น มองว่าตลาดหุ้นไทยปี 2568 ยังจะแกว่งตัวผันผวน โดยมีแรงขายเพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสงครามการค้า กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำให้ Selectiveon Buy ใน 3 ธีมหลักและ 3 ธีมเทรดดิ้งที่ยังมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ได้แก่

    1. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX ได้แก่ 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต 2) ฐานะการเงินแข็งแกร่ง 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ Dividend Yield อย่างน้อย 3%
หุ้น SET50: ที่ ADVANC, BBL, BDMS, CPALL PTT และ SET100: BCH, BTG

    2. หุ้นปันผลคุณภาพดี โดย 1) สถิติจ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ปี 2) คาดจ่ายปันผลจากกำไรปี 2567 หลังจะหักจ่ายระหว่างกาลแล้ว Dividend Yield สูงเกิน 4% และ Dividend Payout Ratio มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว แนะนำ KTB, BBL, KBank

    3. หุ้น Undervalues สำหรับลงทุน คัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุนโดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต 2) มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง 3) ซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) Dividend Yield ปี 2568 อย่างน้อย 2% และ 5) มี SET ESG Rating ระดับ A-AAA แนะนำ MTC, MINT, AMATA, BJC, CPF

    นอกจากนี้ สำหรับ Trading Idea ของกลุ่มนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรแนะนำ

    1) หุ้นที่คาดว่าจะได้ผลบวกทั้งอ้อมจากเหตุแผ่นดินไหว ได้แก่ HMPRO, SCCC, TRUE, ADVANC, STECON

    2) Domestic Play หากกังวลสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น เช่น CPALL, ADVANC, TRUE, BTG, BCH

    3) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากเข้าสู่เดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ จากสถิติให้ผลตอบแทนในเดือนเมษายนเฉลี่ย 2.8% ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก (CPAXT, CPALL), กลุ่มท่องเที่ยว (MINT) และกลุ่มการแพทย์ (BCH, BDMS)



ภาพ: บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด, freepik, Sarah Crego on Unsplash



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : วิจัยกสิกรฯ คาดแผ่นดินไหวปี 68 กระทบเศรษฐกิจไทยลบ 0.06% เสี่ยงโตต่ำ 2.4% จากความเสียหายเกิน 20,000 ล้าน

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine