ฟินเทคหมื่นล้าน “Stripe” ประกาศเปิดบริการใหม่ “Stripe Capital” มุ่งให้กู้สินเชื่อธุรกิจแก่บริษัทออนไลน์ หลังบริษัทประสบความสำเร็จจากการสร้างระบบเพย์เมนต์ทางอินเทอร์เน็ตเมื่อ 9 ปีก่อนและกลายเป็นสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าธุรกิจสูงถึง 2.25 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
Stripe ฟินเทคนอกตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก และกำลังก้าวไปอีกขั้น โดยบริษัทประกาศเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2019 ว่าพวกเขาได้แตกไลน์บริษัทใหม่ Stripe Capital เพื่อมุ่งให้บริการกู้ยืมเงินสินเชื่อธุรกิจผ่านระบบออนไลน์
“Stripe Capital จะทำให้ธุรกิจในโลกอินเทอร์เน็ตเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่จำเป็นได้ง่ายขึ้น และในเวลาที่พวกเขาต้องการ” Will Gaybrick ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Stripe กล่าวในการแถลงเปิดตัว
Gaybrick กล่าวว่า ธุรกิจขนาดเล็กคือ “เครื่องยนต์สร้างงานในระบบเศรษฐกิจของเรา” และการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อนำไปสร้างการเติบโตให้ธุรกิจของพวกเขานั้นควรจะ “เป็นเรื่องพื้นๆ และรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด”
บริษัท Stripe ยังมีคู่แข่งในกลุ่มบริการอี-เพย์เมนต์คือ Square ซึ่งก่อตั้งโดย Jack Dorsey และ Adyen สตาร์ทอัพจากเนเธอร์แลนด์ ดังนั้น การใช้แพลตฟอร์มที่สร้างการเติบโตรูปแบบอื่นให้บริษัท น่าจะช่วยสร้างผลกำไรที่ดีขึ้นให้กับ Stripe ได้ในไม่ช้า
การเข้าสู่สนามรบธุรกิจปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทขนาดเล็กนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับองค์กรเทคโนโลยี คู่แข่งในหมู่ฟินเทคอย่าง Square และ PayPal ล่วงหน้าในธุรกิจนี้ไปก่อนแล้ว โดยทั้งสองบริษัทรายงานผลการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา หลังจากมีพอร์ตธุรกิจด้านสินเชื่อ
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอี-คอมเมิร์ซอย่าง Amazon ก็อยู่ในสนามรบนี้ด้วย โดยให้กู้แก่พ่อค้าแม่ค้าผ่านเครือข่ายชื่อ “Amazon Lending” เป็นโปรแกรมให้กู้สินเชื่อที่ส่งคำเชิญเฉพาะบริษัทเท่านั้น ด้วยวงเงินสินเชื่อขั้นต่ำเพียง 1,000 เหรียญสหรัฐฯ
กรณีส่วนใหญ่ สินเชื่อจากบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้มักจะให้กู้ในวงเงินเฉลี่ยต่ำกว่าที่ธนาคารจะอนุมัติ ตัวอย่างเช่น Square มีวงเงินสินเชื่อเฉลี่ย 6,000-7,000 เหรียญ และสามารถให้วงเงินต่ำสุดที่ 500 เหรียญ
บอกลาระบบเครดิตสกอร์แบบเดิม
ถ้าคุณถามบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ว่าอะไรคือข้อเด่นที่ทำให้พวกเขาเหนือกว่าธนาคาร สิ่งนั้นคือ “ดาต้า”
Stripe และบริษัทอื่นๆ ต่างเลี่ยงที่จะใช้ระบบเครดิตสกอร์ FICO ที่สถาบันการเงิน 90% ในสหรัฐอเมริกาใช้เพื่อวัดความเสี่ยงของลูกค้า สิ่งที่พวกเขาใช้วัดเครดิตทดแทนระบบเดิม คือประวัติการใช้งานบนแพลตฟอร์มของตนเอง ยกตัวอย่างเช่น Stripe พวกเขาจะดึงดาต้าด้วย “อัลกอริธึมขั้นสูง” เพื่อสำรวจเทรนด์การชำระเงินของบริษัทผู้ขอกู้สินเชื่อ เช่น ปริมาณการได้รับชำระเงิน สัดส่วนของลูกค้าซื้อซ้ำ และความถี่ในการชำระ
Stripe ระบุว่า การพึ่งพิงเทคโนโลยีเช่นนี้ทำให้พวกเขาสามารถอนุมัติสินเชื่อได้อย่างรวดเร็ว บริษัทกล่าวว่าบริการนี้ “จะไม่มีเอกสารสมัครบริการอันยาวเหยียด คุณสมบัติของผู้ขอกู้จะได้รับการพิจารณาอย่างรวดเร็ว เงินกู้ที่ได้รับอนุมัติจะเข้าบัญชีของลูกค้า Stripe ภายในวันถัดไป และบริษัทลูกค้าสามารถทยอยจ่ายคืนได้ผ่านการหักจากรายได้”
บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้จะเรียกเก็บเงินกู้คืนไปพร้อมๆ กับยอดขายที่เข้ามาในบริษัทลูกค้า แทนที่จะกำหนดวันจ่ายคืนทุกๆ วันที่ 15 (หรือวันอื่นๆ) ของเดือน ซึ่งพวกเขากล่าวว่า ระบบนี้จะช่วยลดภาระให้กับลูกค้า
รวดเร็วแต่มี 'ความเสี่ยง'
อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่ง การให้กู้แก่บริษัทสตาร์ทอัพขนาดเล็กก็มีความเสี่ยงโดยธรรมชาติ Karen Mills นักวิชาการอาวุโสมหาวิทยาลัย Harvard และอดีตหัวหน้าหน่วยบริหารธุรกิจขนาดเล็กแห่งสหรัฐอเมริกายุครัฐบาล Barack Obama กล่าวกับสำนักข่าว CNBC ว่า หากเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำขึ้น จะกระทบกับบริษัทขนาดเล็กเหล่านี้หนักที่สุด
“จากการบริหารธุรกิจขนาดย่อมผ่านช่วงวัฏจักรเศรษฐกิจที่แตกต่างมาแล้วสามช่วง ฉันบอกได้เลยว่าวัฏจักรแบบนั้นจะเกิดขึ้นอีกและเราต้องนำปัจจัยนี้มาคิด ธุรกิจขนาดเล็กได้รับผลกระทบหนักมากในวัฏจักรขาลง โดยเฉพาะบริษัทที่ต้องพึ่งพิงยอดขายจากตลาดหลัก” Mills กล่าว
สำหรับ Stripe นั้นก่อตั้งขึ้นโดยสองพี่น้องชาวไอริช Patrick และ John Collison เมื่อปี 2010 ช่วงที่ก่อตั้งบริษัทนั้น พวกเขามีอายุเพียง 20 และ 22 ปี ปัจจุบันบริษัทได้รับเงินระดมทุนจากบรรดาบิ๊กเนมในวงการสตาร์ทอัพอย่าง Andreessen Horowitz, Peter Thiel, Elon Musk, Capaital G, Sequoia Capital, Kleiner Perkins ฯลฯ (อ่านเรื่องราวและตัวตนของพี่น้อง Collison ได้ที่นี่)
CNBC รายงานว่า Stripe ถือเป็นฟินเทคนอกตลาดหลักทรัพย์ที่ได้รับการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ไว้สูงที่สุดในโลกที่ 2.25 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยอันดับ 2 คือ Coinbase บริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินคริปโต ซึ่งได้รับการประเมินมูลค่าไว้ที่ 8 พันล้านเหรียญ
ที่มา