ดีเดย์ 25 มี.ค. ขยายเวลาซื้อขายหุ้น จับตาทิศทางส่งออก - Forbes Thailand

ดีเดย์ 25 มี.ค. ขยายเวลาซื้อขายหุ้น จับตาทิศทางส่งออก

เริ่มต้นสัปดาห์นี้ วันที่ 25 มีนาคม 2567 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เตรียมขยายเวลาทำการซื้อขาย โดยจะเปิดการซื้อขายช่วงบ่ายให้เร็วขึ้น 30 นาที นักลงทุนจับตาแนวโน้มค่าเงินบาท หลังทิศทางดอกเบี้ยขาลงชัดเจนขึ้น ลุ้นตัวเลขส่งออกฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งผลหุ้นกลุ่มอาหารและกลุ่มพึ่งพาการส่งออก


    ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ขยายเวลาทำการซื้อขาย โดยจะเปิดการซื้อขายช่วงบ่ายให้เร็วขึ้น 30 นาที จากเดิม 14.30 – 16.30 น. ขยับเป็น 14.00 – 16.30 น. ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคมากขึ้น และช่วยให้ผู้ลงทุนมีเวลาในการซื้อขายหลักทรัพย์และปรับกลยุทธ์ได้ทันกับความเคลื่อนไหวของข่าวสารที่มีมากขึ้น โดยจะเริ่มขยายเวลาซื้อขายตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป

    สำหรับตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) จะขยายเวลาซื้อขายสินค้ากลุ่ม Equity Futures & Options, Currency Futures และ Interest Rate Futures โดยเปิดทำการซื้อขายในช่วงบ่าย (Afternoon Session) เร็วขึ้น 30 นาที เพื่อให้สอดคล้องกับการขยายเวลาซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ

    อย่างไรก็ตาม เสียงจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ มองว่า การขยายเวลาซื้อขายไม่ได้มีผลต่อปริมาณการซื้อขายมากนัก ปัจจัยสำคัญยังมาจากปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทย และผลกระทบจากปัจจัยภายนอก ทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ย ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และแนวโน้มเศรษฐกิจประเทศหลักอย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป และจีน ที่เริ่มเห็นทิศทางที่ชัดเจนขึ้น หลังที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ ส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้


แนวโน้มตลาดหุ้นคึกคัก หลังดอกเบี้ยขาลง

    เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด หรือ ASPS กล่าวว่า เริ่มเห็นทิศทางที่ชัดเจนว่าทั้งธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีแนวโน้มปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในเดือนมิถุนายนนี้ และเชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการประชุมวันที่ 10 เมษายนนี้ และการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 12 มิถุนายน 2567 ทิศทางดอกเบี้ยขาลง ทำให้สินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงทองคำปรับตัวดีขึ้น

    สำหรับทิศทางดอกเบี้ยจีน BLOOMBERG ประเมินว่า ธนาคารกลางของจีนจะปรับลดดอกเบี้ย เงินกู้ชั้นดีอายุ 1 ปี (ONE-YEAR MLF RATE) ลดลงอีก 30 BPS. มาอยู่ที่ 2.2% ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2567 และคาดหวังว่าจีนจะกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมผ่านการปรับลดอัตราส่วนเงินสำรอง (RRR) ของธนาคารพาณิชย์ลงอีก 50 BPS. ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งสอดคล้องกับแถลงการณ์ของรองผู้ว่าแบงก์ชาติจีน ที่กำลังพยายามกระตุ้นภาคสินเชื่อขยายตัว ด้วยการลดข้อกำหนดด้านเงินทุนสำรอง

    “ตลาดหุ้นโลกกลับมาคึกคัก หลังวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงปีนี้ดูชัดเจนมากขึ้น โดยอาจเห็น FED, ECB, BOE จะพร้อมใจกันปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้ในเดือนมิถุนายน 67 ส่วนธนาคารกลางจีนจะปรับลดดอกเบี้ยในช่วงไตรมาสสอง เพื่อเป็นแรงสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนต่อไป”


จับตาตัวเลขส่งออก ก.พ.ของไทย

    สัปดาห์นี้กระทรวงพาณิชย์จะแถลงตัวเลขการส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากเดือนมกราคมที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 18 เดือน ทั้งนี้ เทิศศักดิ์ มองว่า จากปัจจัยตัวเลขการส่งออกและนำเข้าของจีนที่มีแนวโน้มดีขึ้นในช่วง 2 เดือนแรกของปี โดยยอดส่งออกเพิ่มขึ้น 7.1% (YOY) สูงกว่าที่ตลาดคาด 1.9% และยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 3.5% (YOY) ตัวเลขนำเข้าที่ดีกว่าคาดส่งผลบวกทางตรงต่อไทยที่เป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย

    ขณะที่การประกาศตัวเลขส่งออกนำเข้าของไทยในเดือนกุมภาพันธ์ โดยตลาดคาดว่าจะขยายตัว 5.0% (YOY) และ 4.0% (YOY) หนุนให้ดุลการค้าเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับที่กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่าการส่งออกไทยยังคงได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าตามภาวะเงินเฟ้อโลกที่เริ่มชะลอตัว การได้รับอานิสงส์จากมาตรการรักษาความมั่นคงทางด้านอาหารของหลายประเทศ

    และคาดว่ามูลค่าการส่งออกของไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้ 1 – 2% (YOY) บวกกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าแรงตั้งแต่ต้นปีถึง 5.7% จน ล่าสุดทะลุระดับ 36 บาท/เหรียญฯ จึงคาดว่าหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์หลัก คือ หุ้นกลุ่มส่งออก อาทิ TU, ITC, CPF, STA, NER, KCE, HANA เป็นต้น

    ด้านบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์นี้มีแนวรับที่ 1,370 และ 1,360 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,390 และ 1,400 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ของไทยและทิศทางเงินทุนต่างชาติ

    ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ยังคงต้องติดตาม ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล ดัชนี PCE และ Core PCE Price Index เดือนกุมภาพันธ์ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4 ปี 2566 รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ กำไรบริษัทภาคอุตสาหกรรมเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ของจีน ตลอดจนยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ของญี่ปุ่น เป็นต้น


Krungthai CIO แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้น

    Krungthai CIO วิเคราะห์ตลาดและการลงทุนประจำเดือนมีนาคม 2567 แนะนำผู้ลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางหลายประเทศ โดยมองว่าฝั่งยุโรปน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยก่อนสหรัฐอเมริกา ตามทิศทางเงินเฟ้อและเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้ากว่าสหรัฐฯ

    ส่วนไทยมีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยและนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตยังไม่เกิดขึ้น

    สำหรับกลยุทธ์การลงทุน Krungthai CIO มีมุมมองเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้น เพราะมีโอกาสปรับขึ้นต่อ แม้ว่าตลาดหุ้นหลักหลายๆ แห่งจะทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นที่สิ้นสุดลง และเฟดน่าจะทยอยลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้ นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัวได้ ทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสขยายตัวต่อ โดยตลาดหุ้นที่น่าสนใจ มีดังนี้

    - หุ้นขนาดเล็กสหรัฐฯ ที่ยังคง Laggard หุ้นขนาดใหญ่อยู่พอสมควร ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะทำจุดสูงสุดใหม่ แต่การปรับตัวขึ้นกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่ ทำให้ Valuation ของหุ้นขนาดเล็กอยู่ในระดับที่ไม่แพง ประกอบกับมุมมองเรื่อง “Soft Landing” ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการที่รายได้ส่วนใหญ่ของหุ้นขนาดเล็กมาจากภายในประเทศเป็นหลัก ทำให้มองว่า รายได้มีโอกาสขยายตัวต่อ

    - สำหรับตลาดเกิดใหม่ หุ้นอินเดีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย เป็นตลาดที่น่าสนใจ จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ในระดับสูงในปีนี้ จากการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง กระแสการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ไหลมาอย่างต่อเนื่อง

    อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นอินเดีย และเวียดนาม ปรับขึ้นค่อนข้างดีต่อเนื่องจากปีที่ผ่าน ทำให้ Upside จำกัด แนะนำให้อาศัยจังหวะที่ตลาดปรับตัวลงในการเข้าลงทุน ส่วนตลาดอินโดนีเซีย ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี นายปราโบโว ซูเบียนโต ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี คลายความกังวลตลาดจากการสานต่อนโยบายต่างๆ ประกอบกับราคาหุ้นที่ยังไม่แพง P/E อยู่ที่ 13.8 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

    - ตลาดหุ้นไทย นักลงทุนผิดหวังผลประกอบการ และตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปี 2566 ที่โดยรวมออกมาแย่กว่าคาด อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นได้รับรู้ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ไปพอสมควร ทำให้ Downside Risk จำกัด จึงมองว่าตลาดมีโอกาสฟื้นตัว ถ้าร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ได้รับการอนุมัติและเริ่มมีการเบิกจ่ายงบประมาณได้

    - ตลาดหุ้นจีน แนะนำ Trading Buy มองว่าบรรยากาศการลงทุนดีขึ้นจากมาตรการภาครัฐที่ทยอยออกมาเอื้อต่อเศรษฐกิจและตลาดทุน กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ Healthcare Technology และ Global REITs

    โดยกำไรหุ้นกลุ่ม Technology มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีจากกระแส AI เช่นเดียวกับกลุ่ม Healthcare ที่กำไรมีแนวโน้มขยายตัวได้สูงจากนวัตกรรมยาใหม่ๆ ที่รักษาโรคที่รักษาได้ยากและยังไม่มีมาก่อน ส่วนกลุ่ม Global REITs ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด และเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง

    สำหรับสินทรัพย์อื่นๆ Krungthai CIO มีมุมมองเป็นบวกต่อราคาน้ำมัน มองว่าราคาน้ำมัน WTI จะปรับตัวในกรอบ 70-90 ดอลลาร์/บาร์เรล จากการลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC+ และสหรัฐฯ ในช่วงกลางปีหลัง ทำให้อุปทานตึงตัวมากขึ้น ขณะที่อุปสงค์ยังเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง และเศรษฐกิจจีนที่ทยอยฟื้นตัว

    ส่วนราคาทองคำ มองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ควรมีติดพอร์ตไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยงท่ามกลางความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดน่าจะทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อไปอีกได้

    นอกจากนี้ ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศและไทย เนื่องจากตลาดได้ปรับคาดการณ์เกี่ยวกับทิศทางของดอกเบี้ยให้สมเหตุสมผลมากขึ้น ทำให้ Bond Yield ผันผวนน้อยลงและมีโอกาสปรับตัวลงได้

    นอกจากนี้ ตราสารหนี้ยังเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยในการกระจายความเสี่ยงได้ดี หากสมมติฐานเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้โตตามคาด และเปิดทางให้เฟดลดดอกเบี้ยได้มากกว่ามุมมองตลาด ขณะที่ตราสารหนี้ไทยจะได้รับผลบวกจากแนวโน้มเงินเฟ้อไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่ กนง.จะลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง



Image by rawpixel.com on Freepik



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : SCBX ประกาศจับมือ WeBank ธนาคารดิจิทัลในจีน เตรียมยื่นขอใบอนุญาต Virtual Bank

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine