ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ชี้ตลาดยานยนต์แข่งดุ ฉุดไทย ส่งออกสหรัฐฯติดลบ คาดปีนี้หดตัว ส่งออกเหลือ 9.2 แสนคัน - Forbes Thailand

ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ชี้ตลาดยานยนต์แข่งดุ ฉุดไทย ส่งออกสหรัฐฯติดลบ คาดปีนี้หดตัว ส่งออกเหลือ 9.2 แสนคัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ต้องรับมือมาตรการภาษีทรัมป์ ทั้งภาวะรุกขยายตลาดค่ายรถจีนที่ดุเดือด คาดปีนี้ไทยส่งออกเหลือ 9.2 แสนคัน แนะยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม-ความปลอดภัยคู่ค้า เพื่อสู้ในอุตสาหกรรมแบบระยะยาว


    รุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการ กล่าวว่า “ประเทศไทยเผชิญโจทย์ท้าทายในหลายด้านพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นภาษีทรัมป์ แม้ด้านส่งออกรถยนต์ รวมถึงชิ้นส่วน นอกจากนี้ ยังมีการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาดจากผู้เล่นหน้าใหม่ โดยเฉพาะจีน ที่เน้นในเรื่องยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการเปลี่ยนมาตรฐานรถยนต์ โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มาตรฐานความปลอดภัย ที่กระทบการส่งออกของไทย ท้ายที่สุดโจทย์ใหญ่ที่สำคัญ คือ การมุ่งเป้าสู่ Net zero ของไทย

    “ผลกระทบภาษีทรัมป์ มูลค่าการส่งออกรถยนต์ไทย รวมถึงชิ้นส่วนไปยังสหรัฐฯ 14% จะเห็นว่าตลาดสหรัฐฯค่อนข้างมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไทย หากเจาะในรายละเอียด พบว่า ผลภาษีทรัมป์มีความแตกต่างกัน ชิ้นส่วนรถยนต์คือ ส่วนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งได้ผลกระทบภายใต้ section 232 (การขึ้นภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนของสหรัฐฯ) ราว 89% ในปีที่แล้ว ขณะที่ชิ้นส่วนรถยนต์ โดนผลกระทบ 6% แต่ชิ้นส่วนอื่นๆนอกเหนือจาก section 32 เช่น ท่อไอเสีย ท่อปล่อยน้ำมันเข้าสู่เครื่องยนต์ ทำให้ไทยต้องเสียภาษี Reciprocal Tarriffs (ภาษีตอบโต้แบบเท่าเทียม) 19%

    “แน่นอนว่า ผลกระทบทางตรงของการส่งออกรถยนต์ไทยไปสหรัฐฯ ตัวรถยนต์ค่อนข้างน้อยที่สุด แต่ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ ถ้ามองในสัดส่วนที่ไทยน้ำเข้ารถยนต์สหรัฐฯจะอยู่ที่ 0.2% นอกจากนี้ สหรัฐฯยังนำเข้าจาก 6 ประเทศหลักๆ ได้แก่ เม็กซิโก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แคนาดา เยอรมนี และอังกฤษ 

    "ส่วนประเทศที่เกี่ยวเนื่องกับไทย คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมนี และอังกฤษ ไม่นับเม็กซิโก และแคนาดา เพราะ รถยนต์ส่วนใหญ่ที่ผลิตใน 2 ประเทศดังกล่าว ขายแค่ในสหรัฐฯและประเทศของตัวเอง ดังนั้น การมาของภาษีทรัมป์ หรือ section 323 ทำให้หลายๆ ประเทศส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ที่พึ่งพิงตลาดสหรัฐฯได้ค่อนข้างสูง ราวๆ มากกว่า 1 ใน 3 ของการส่งออกรถยนต์ไปทั่วโลก


รุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการ


    “แม้ญี่ปุ่นที่โดน section 232 อยู่แค่ 15% ต่างกับไทยและประเทศอื่นๆ ที่โดน 25% แต่การส่งออกรถยนต์ของญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มลดลง ทำให้ประเทศเหล่านี้จำเป็นต้องหาตลาดส่งออกทดแทน เพราะฉะนั้นในภาพรวมทำให้ตลาดโลกเกิดการแข่งขันที่สูงขึ้น ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงสิงหาคม จะเห็นผลกระทบจากภาษีทรัมป์ของเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ไปยังสหรัฐฯนั้นติดลบ และได้เริ่มกระจายการส่งออกไปยังตะวันออกกลาง อียู แอฟริกา อเมริกาใต้ 

    "ส่วนเยอรมนีและอังกฤษ ประเทศผลิตรถยนต์ติดอันดับโลก ก็เกิดการปรับตัวเช่นกันในเชิงโครงสร้าง โดยส่งออกไปสหรัฐฯลดลง และไปเพิ่มการส่งออกในตลาดอื่นๆ เช่นกัน แน่นอนว่า การแข่งขันการส่งออกรถยนต์ ย่อมกทระทบการส่งออกรถยนต์ไทย นอกจากนั้น ยังรวมไปถึงเรื่องการล้นเกินของมลภาวะทางรถยนต์ของโลก" รุจิพันธ์ กล่าว

    รุจิพันธ์ อธิบายภาพรวมการส่งออกรถยนต์ของไทยในสภาวะที่ผ่านมาว่า “การส่งออกไปสหรัฐฯติดลบ 91.5% หากดูในเรื่องชิ้นส่วน จะมีภาพที่ต่างกับรถยนต์ เนื่องจากไทยพึ่งพาการส่งออกชิ้นส่วนไปสหรัฐฯอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อดูที่ section 232 พบว่า ไทยอยู่อันดับที่ 7 ส่วนใน 6 อันดับแรกจะมีจีนแทรกเข้าแทนที่อังกฤษ เฉพาะ section 232 พบว่าไทยส่งออกไปทั่วโลก 26% ประมาณ 5.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้นสำหรับ section 232 ครอบคลุมมูลค่าการส่งออกเกือบทั้งหมดใน 89% หากดูในแต่ละสมการชิ้นส่วนรถยนต์ เช่น ยางล้อรถ ที่ไทยส่งออกไปตลาดสหรัฐฯสูงมากเกือบครึ่งๆ "



    ด้าน หทัยวัลคุ์ ตุงคะธีรกุล เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส กล่าวถึงการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ว่า “หลักๆ คือ ค่ายรถจีน และค่ายรถญี่ปุ่น ในตอนนี้จีนกำลังเดินกลยุทธ์ทำสงครามการแข่งขันในหลายตลาดของโลก สำหรับสงครามราคายังคงมีต่อไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้รุนแรงมากเหมือนที่ผ่านมา การใช้รถของผู้บริโภคเปลี่ยนไป เริ่มหันมาใช้รถยนต์ BEV มากขึ้น 

    "จากเดิมปีที่แล้ว 12% ปีนี้ขยับมา 18% รถยนต์ PHEV ก็เช่นกัน จากเดิม 1% มาเป็น 4% หลักๆผู้ผลิต คือ ค่ายรถจีน แต่ในส่วนรถยนต์ใช้น้ำมัน แน่นอนว่า ญี่ปุ่นเป็นผู้ครองตลาด แต่การที่จีนเพิ่มส่วนแบ่งขึ้นมา ทำให้ค่ายรถยนต์น้ำมันญี่ปุ่น ลดลงถึง 78% จาก 87% ในปีที่แล้ว สะท้อนว่า ส่วนแบ่งค่ายรถยนต์จีนในตลาดไทยเพิ่มขึ้น จากเดิม 13% ในปีที่แล้ว ปีนี้คาดว่า 22% จึงทำให้เกิดการแย่งชิงส่วนแบ่งทางตลาดที่เข้มข้นมากขึ้น ซึ่งอาจกระทบในส่วนภาคผลิต ภาคบริการด้วย


หทัยวัลคุ์ ตุงคะธีรกุล เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส


    “จีนยังบุกตลาดโลก ส่งผลกระทบต่อไทยด้วย โดยในปีนี้คาดว่าการส่งออกไทยจะเหลือประมาณ 9.2 แสนคัน จากปกติที่จะทำได้ 1 ล้านคัน เรียกว่าเป็นการหดตัวที่น่ากังวลเช่นกัน ในทางปกติต้องแตะ 1 ล้านคัน ถ้าไม่นับช่วงโควิด เมื่อดูการส่งออกของจีนไปยังประเทศซาอุดิอาระเบีย ออสเตรเลีย และอาเซียนนั้นเพิ่มขึ้นทั้งหมด แต่ของไทยลดลง" หทัยวัลคุ์ กล่าว



    หทัยวัลคุ์ เผยปัญหาการส่งออกไทยว่า “ชัดเจนว่า การส่งออกรถยนต์ BEV และ PHEV ของจีนได้รับการตอบรับที่ดี แต่ไทยส่งออกรถยนต์น้ำมันเป็นหลักซึ่งหดตัวลง หากดูในส่วนปิกอัพของไทยภาพรวมยังดี เนื่องจากมาตรฐานของญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อ แต่ในส่วนรถปิกอัพของจีน ผู้ใช้ยังกังวลเกี่ยวกับสมรรถนะของรถอยู่

    “การผลิตรถยนต์ในประเทศไทยคาดว่า ลดลงราว 1.43 ล้านคัน ใกล้เคียงช่วงโควิด นับว่าเป็นสิ่งที่น่ากังวล ส่วนที่ลดลงจะเป็นรถที่ค่ายญี่ปุ่นผลิต ส่วนที่เพิ่มขึ้นคือ BEV และ PHEV ของญี่ปุ่น แต่ยังไม่สามารถทดแทนในส่วนที่ลดลงของการผลิตส่วนใหญ่ กลับมาสู่คำถามว่า ไทยจะส่งออกอย่างไร ออสเตรเลียเป็นตลาดใหญ่ของไทย เนื่องจากนำเข้ารถจากไทยในสัดส่วนที่สูงมาก ราวเกือบ 1 ใน 3 หากออสเตรเลียเปลี่ยนแปลงมาตรฐานรถ ย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อรถยนต์ในประเทศไทย โดยเฉพาะการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีเกณฑ์สูงขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยด้วย

    ทั้งนี้ กฤตย์ สีตะธนี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า “การที่ไทยเลื่อนเป้า Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี ส่งผลให้ภาคขนส่งต้องเร่งปรับตัวเพิ่มสัดส่วนยอดขายรถ BEV ใหม่ โดยในปัจจุบันรถ BEV มีเพียง 1.2% ของรถยนต์สะสมทั้งหมด จึงยังมีช่องว่างอีกมากในการผลิตเพื่อทดแทนรถ ICE ทั้งหมดภายในปี 2050 ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตชิ้นส่วนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ราว 65% ยังไม่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่บริษัทขนาดใหญ่เริ่มปรับตัวแล้ว

    "ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแนะนำผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย ที่เผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การแข่งขันรุนแรงจากค่ายรถจีน และมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด รวมทั้งการเร่งเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ และกระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่ขยายตัว จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์ เพื่อสามารถตอบสนองกับทิศทางของตลาดที่มีแนวโน้มสัดส่วน รถ ICE ที่ลดลง และมีสัดส่วนรถ HEV และ PHEV ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งจับตาโอกาสในการขยายตลาดของรถ BEV" กฤตย์ กล่าว


กฤตย์ สีตะธนี ผู้ช่วยกกรมการผู้จัดการ

  


ภาพ : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย Freepik และ KResearch


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : บีโอไอเผยยอดลงทุน 9 เดือน ทะยาน 1.3 ล้านล้านบาท ‘สิงคโปร์’ ยืนหนึ่งลงทุนมากสุด ในกิจการ 'ดาต้าเซ็นเตอร์’

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine