บล.เอเซีย พลัส คาด SET สิ้นปี 67 ไปถึง 1,450 จุด แต่ห่วงเศรษฐกิจไทยปี 69 โตแผ่ว - Forbes Thailand

บล.เอเซีย พลัส คาด SET สิ้นปี 67 ไปถึง 1,450 จุด แต่ห่วงเศรษฐกิจไทยปี 69 โตแผ่ว

บล.เอเซีย พลัส คาดเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/67 เป็นจุดต่ำสุดของปี เพราะเห็นปัจจัยบวกทั้งจากใน-ต่างประเทศ ผลบวกเม็ดเงิน ThaiESG และ กองทุนวายุภักษ์ คาดสิ้นปี 67 ตลาดหุ้นไทยไปถึง 1,450 จุด ส่วนกรณี EA ยังต้องติดตามสถานการณ์เพิ่มเติม แต่ยังกังวลการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2569 อาจแย่ลง หากไม่เร่งปรับโครงสร้าง หคือกรณีไม่มีมาตรการพิเศษจากรัฐเหมือนปีนี้จะมีแนวทางเติบโตอย่างไร


    นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด หรือ บล. เอเซีย พลัส (ASPS) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยช่วงที่เหลือของปี 2567 มีแนวโน้มดีขึ้น โดยไตรมาส 1/67 ที่ GDP ไทยขยายตัว 1.5% เป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ โดยมีเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ณ สิ้นปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 1,450 จุด (ปรับลดจากประมาณการก่อนหน้าที่ระดับ 1,570 - 1,580 จุด)

    ในไตรมาส 3 นี้ คาดว่า SET Index จะยืนเหนือ 1,350 จุด โดยมีปัจจัยบวก โดยหลักมาจากการลงทุนภาครัฐที่ในช่วงก่อนหน้าติดลบกว่า 20% และมาตรการสนับสนุนตลาดทุนอย่างกองทุนวายุภักษ์ และจากกองทุน ThaiESG ที่คาดว่าอาจสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดอย่างน้อย 30,000 - 40,000 ล้านบาทต่อปี    


    นอกจากนี้ ปัจจัยที่หนุนตลาดหุ้นไทย ปัจจัยต่างประเทศคือ ภาพเศรษฐกิจโลกที่ดูผ่อนคลายลงจากความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย ท่ามกลางวัฏจักรดอกเบี้ยโลกขาลงเริ่มชัดเจน โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 3/67 เชื่อว่าจะช่วยลดแรงกดดันต่ออัตราแลกเปลี่ยน หนุนให้ค่าเงินบาแข็งต่าขึ้น ขณะที่ปัจจัยหนุนในประเทศ ได้แก่

    1. มุมกำไรบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 2/67 ที่มีโอกาสเติบโตเทียบกับช่วงเดียวกันชองปีก่อน (YoY) จากฐานที่ต่ำในปีก่อนหน้า และทรงๆ ตัวจากการเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) รวมถึงมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และราคาน้ำมันยืนระดับสูงหนุนให้กำไรงวดไตรมาส 2/67 มีโอกาสอยู่ในกรอบ 230,000 – 270,000 ล้านบาท

    2. มุม Valuation SET จะเห็นแนวรับสำคัญทางพื้นฐานที่บริเวณ 1,300 จุด มองว่าหุ้นไทยราคาไม่สูงมากอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่า (PBV) มีค่าที่ 1.2 เท่า (-2SD ในรอบ 10 ปี), อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล หรือ Dividend Yield 3.5% (+1SD ในรอบ 10 ปี)

    3. มาตรการสร้างความเชื่อมั่นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เริ่มจาก 1 ก.ค. 67 ที่ประกาศการใช้กฎ UPTICK RULE ทุกบริษัท ซึ่งลดการทำธุรกรรม SHORT SELL ได้อย่างมีนัยฯ

    ในด้านปัจจัยทางการเมืองมองว่า กรณีการยุบพรรคก้าวไกลจะไม่ได้สร้างผลกระทบ Downside ต่อตลาดหุ้นไทย แต่เคสที่อาจมีน้ำหนักทางเศรษฐกิจ มองว่าเป็นกรณีที่เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน


    อย่างไรก็ตาม กรณีบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA หรือเมื่อเกิดปัญหาบริษัทต่างๆ ส่วนใหญ่พบว่า ผลกระทบระยะแรกจะสูงที่สุดเพราะนักลงทุนจะคาดการณ์ถึงภาพที่แย่ที่สุด แต่เคส EA มองว่าผลกระทบยังจำกัด เพราะตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นลดลงค่อนข้างมากแล้ว อาจเพราะคนคาดว่าธุรกิจกำไรลดลง ต่อมาเจอปัญหาความเชื่อมั่น แต่ต้องติดต้องความคืบหน้าว่าบริษัทจะมีการแก้ไขปัญหาอย่างไร

    ทั้งนี้ EA มีภาระหนี้หุ้นกู้ 31,000 ล้านบาท ตราสารหนี้ระยะสั้น 1,400 ล้านบาท และเงินกู้จากสถาบันการเงิน ระยะสั้น 8,300 ล้านบาท เงินกู้จากสถาบันการเงิน ระยะยาวที่ 17,000 ล้านบาท เป็นโครงสร้างเงินกู้ที่ต้องทยอยแก้ปัญหาไป

    ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทยมองว่าปี 2567 GDP จะเฉลี่ยที่ 2.6% โดยมีผลดีจากนโยบายรัฐที่คาดว่าจะออกมาเต็มที่ช่วงไตรมาส 4/67 ซึ่งหากมี DIgital Wallet ออกมาคาดว่าจะส่งผลดีทั้งในปลายปีและต้นปีหน้า แต่จุดที่น่าเป็นห่วงคือ หากไทยไม่เร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ หรือไม่มีมาตรการพิเศษ (อย่างในปีนี้) อาจทำให้การเติบโตเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ไม่มีแรงส่งมากนัก




เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : EA ปรับทัพผู้บริหารแก้ปัญหาความเชื่อมั่น ย้ำมีเงินสดจ่ายหนี้หุ้นกู้

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine