บล.เอเซีย พลัส ประเมินภาพการลงทุนในช่วงไตรมาสที่ 1 ที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงการเมืองโลก TRUMP 2.0 เป็นเรื่องที่นักลงทุนให้น้ำหนักมากขึ้น เนื่องจากผลกระทบต่อภาคการค้าระหว่างประเทศ เสี่ยงแพร่กระจายไปทั่วโลก (ไม่ใช่แค่จีนประเทศเดียว) โดยคาดสหรัฐจะเริ่มปรับขึ้นภาษีนำเข้าในช่วง ไตรมาส 3 ปี 2568 เป็นต้นไป กดดัน GDP โลกปี 2568F หดตัว 0.4% - 0.6%
ส่วนหุ้น TRUMP TRADE และ Dollar Index ปรับตัวขึ้นแรง ตอบรับในเชิงบวกมาระดับหนึ่งแล้ว ปกติจะเริ่มย่อตัวลงในเดือนที่ TRUMP เข้ารับตำแหน่ง ในมุมนโยบายการเงิน Fed ส่งสัญญาณ Hawkish มากขึ้น มีโอกาสลดดอกเบี้ยเพียง 1 - 2 ครั้งในปีนี้
ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 68 มีแนวโน้มเติบโตตามแต่ละส่วนประกอบของ GDP หลักๆ มาจากความคาดหวังการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบของรัฐบาลไทย อาทิ EASY E-RECEIPT, แจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 แต่ระยะถัดไปการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจำกัด จากหนี้สาธารณะ/ GDP เริ่มปริ่มเพดาน 70%
ในมุม Fund Flow ต้นปี 2568 ตลาดหุ้นอาจเผชิญ แรงกดดันจากเม็ดเงิน LTF ที่พร้อมขายได้สูงขึ้นเป็น 2.3 แสนล้านบาท สูงกว่าต้นปีก่อนที่ 1.6 แสนล้านบาท ราว 43% โดยคาดจะเห็นแรงขายออกมาในเดือน ม.ค. 68 เป็น 1.5 - 2 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเดือน ม.ค. ปีอื่นๆ ขณะที่แรงซื้อกองทุน THAIESG อาจชดเชยได้ไม่พอ
ส่วนเม็ดเงินต่างชาติ มีโอกาสชะลอช่วงสั้นๆ เนื่องจาก นักลงทุนอยู่ในช่วงรอดูนโยบาย TRUMP 2.0 และหากเทียบเคียงยุค TRUMP 1.0 ปี 2561 ที่มีประเด็นสงครามการค้า เป็นปีที่ต่างชาติขายหุ้นไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 2.87 แสนล้านบาทนอกจากนี้ยังมีแรงกดดันจากการทยอยปรับลด EPS68F ที่ BLOOMBERG ประเมิน EPS25F ที่ 98.5 บาท/หุ้น เทียบเท่ากำไร 1.2 ล้านล้านบาทต่อปี (เฉลี่ยต่อไตรมาสราว 3 แสนล้านบาท) ถือว่าเกิดขึ้นได้ยาก เพราะสูงกว่ากำไรระดับปกติไตรมาสละ 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะสร้างความผันผวนได้
อย่างไรก็ตาม SET ย่อตัวลงมา อาจมีจังหวะรีบาวน์ได้บ้าง จากความคาดหวังการเติบโตของกำไรบรษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 4 ปี 67 ที่น่าจะเติบโตทั้ง QOQ และ YOY จากฐานที่ต่ำ โดยงวดไตรมาส 4 ปี 66 อยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท และกำไรงวดไตรมาส 3 ปี 67 ที่ 1.9 แสนล้านบาท ในมุม Valuation เบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯ ประเมินเป้าหมายดัชนี ผ่าน EPS68F จาก BLOOMBERG Consensus ที่ 98.5 บาท/หุ้น ซึ่งอาจมี DOWNSIDE ในช่วง 3 เดือนแรกของปี ที่มักถูกปรับลงเฉลี่ย -5.8 บาท/หุ้น จึงทำ SENSITIVITY ของเป้าหมายดัชนีปี 2568 อิง P/E ที่ 16.5 เท่า เมื่อคูณกับ EPS68F ระดับต่างๆ จะได้เป้าหมายดัชนีในปี 68 ที่ 1,490 – 1,600 จุด
กลยุทธ์การลงทุนเดือน ม.ค. 68 แนะนำหุ้นเด่นน่าลงทุน 4 กลุ่ม ดังนี้
- หุ้นผันผวนต่ำ ได้แก่ AOT, BEM
- หุ้นปันผลสูง ได้แก่ BBL, SIRI
- หุ้นรับกระแสกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ ADVICE, BJC
- หุ้นยุค TRUMP 2.0 ได้แก่ RCL
Photo by Anne Nygard on Unsplash
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : TISCO ESU คาดปี 68 เศรษฐกิจไทยโต 3% แนะลงทุนเน้นหุ้นสหรัฐฯ เพราะหุ้นไทยน่าสนใจน้อยลง
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine