ไมเนอร์ฯ ประกาศเพิ่มทุน 2.5 หมื่นล้าน รับมือผลกระทบจากโควิด-19 - Forbes Thailand

ไมเนอร์ฯ ประกาศเพิ่มทุน 2.5 หมื่นล้าน รับมือผลกระทบจากโควิด-19

โควิด-19 ทำไตรมาส 1 ไมเนอร์ฯ ขาดทุน 1,774 ล้านบาท เร่งประกาศกลยุทธ์เพิ่มทุน 2.5 หมื่นล้านบาท

บริษัท ไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) ประกาศกลยุทธ์ในการจัดหาเงินทุนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของโครงสร้างเงินทุนและฐานะทางการเงิน ด้วยผลกระทบจากการระบาดของโรค COVID-19 ทั่วโลก โดย ไมเนอร์ฯ ได้เข้าดำเนินการเชิงรุกเพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทมีความสามารถในการปฏิบัติตามภาระผูกพันและรักษาความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงิน

โดยนอกเหนือจากความมุ่งมั่นของบริษัทในการรักษาสถานะเงินสด และการบริหารจัดการสภาพคล่องและหนี้สินแล้ว คณะกรรมการของ MINT ได้อนุมัติแผนการจัดหาเงินทุนจำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท ผ่านเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ซึ่งรวมถึง ารออกหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุน การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน โดยการจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (Rights Offering) และ การออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ซึ่งมีอายุสามปี

ทั้งนี้ การเพิ่มทุนของบริษัทจะต้องได้รับการอนุมัติจากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีที่จะจัดขึ้นในวันที่ 19 มิถุนายน 2563

โครงการเพิ่มทุนดังกล่าวจะแล้วเสร็จในช่วงระหว่างปี 2563-2566 โดยการออกหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนในประเทศ/ต่างประเทศจำนวนเทียบเท่า 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 ส่วนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มทุนจำนวนประมาณ 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 3 ปี 2563

ท้ายสุด การออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพื่อจัดหาเงินทุนเพิ่มเติมอีกประมาณ 5 พันล้านบาท จะเกิดขึ้นภายหลังจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนเสร็จสิ้น ซึ่งมีระยะเวลาสามปีนับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ราคาการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิจะถูกกำหนดไว้ที่ราคาไม่สูงกว่าร้อยละ 10 ของราคาตลาดในช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ปี 2563

โดยราคาดังกล่าวไม่ได้บ่งบอกถึงราคาหุ้นในอนาคต แต่จะเป็นผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ MINT

ทั้งนี้ อัตราส่วนและราคาการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน รวมถึงอัตราส่วนการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิและราคาใช้สิทธิจะถูกกำหนดก่อนการออกตราสารทั้งสองดังกล่าว โดยรายละเอียดในการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนและการออกใบสำคัญแสดงสิทธิจะแสดงไว้ในการเปิดเผยสารสนเทศของบริษัทต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ในไตรมาส 1 ปี 2563 MINT รายงานผลขาดทุนสุทธิจำนวน 1,774 ล้านบาท จากผลกระทบของการระบาดของโรค COVID-19 ต่อทั้งสามธุรกิจของบริษัททั่วโลก และผลกระทบเชิงลบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS 16 ในเรื่องสัญญาเช่า

โดยในไตรมาส 2 ปี 2563 ผลการดำเนินงานของ MINT จะได้รับผลกระทบที่เพิ่มมากขึ้นจากการปิดโรงแรมและร้านอาหารสำหรับการให้บริการนั่งทานในร้านชั่วคราว ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ดังนั้น MINT จึงให้ความสำคัญในการรักษากระแสเงินสดและสภาพคล่องเป็นลำดับแรก โดยบริษัทจะยังคงรักษาเงินสดในมือและวงเงินสินเชื่อเพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทจะมี สภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต

ในขณะเดียวกัน MINT มีการลดกระแสเงินสดจ่ายในทั้งสามหน่วยธุรกิจและในทุกภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ด้วยมาตรการการประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งประกอบด้วยในส่วนของเงินเดือน ค่าเช่า และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ

นอกจากนี้ ได้มีการระงับการจ่ายเงินปันผลและการลงทุนในสินทรัพย์บางส่วนเท่าที่จะสามารถทำได้ ทั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา MINT ได้มีการเตรียมการทดสอบภาวะวิกฤต และมีความมั่นใจว่าแผนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของโครงสร้างเงินทุนในครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถก้าวข้ามผ่านสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใด

ต่อไปในอนาคต เมืองต่างๆ ทั่วโลก ตั้งแต่กรุงมาดริดถึงกรุงเทพฯ จะเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการการปิดประเทศ โดย MINT มีความพร้อมสำหรับการกลับมาดำเนินธุรกิจตามวิถีชีวิตแบบใหม่ (“New Normal”) ทั้งนี้ ในระยะยาว MINT ได้ใช้โอกาสในการปรับโครงสร้างค่าใช้จ่ายเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ในขณะที่เสริมความแข็งแกร่งของความสามารถทางด้านดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทภายหลังจากการระบาดของโรค COVID-19

Dillip Rajakarier ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวว่าผมมีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่าแผนการจัดหาเงินทุนที่ครอบคุมในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัท บริษัทมั่นใจว่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากผู้ถือหุ้นใหญ่ในการจัดหาเงินทุนในครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่มีต่ออนาคตของ MINT

Dillip Rajakarier

โดยฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยพื้นฐานของ MINT ในการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีคุณภาพที่สั่งสมมาตั้งแต่ในอดีต เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจะกลับลงมาอยู่ที่ 1.3 เท่า ภายในสิ้นปี 2563 ซึ่งต่ำกว่าเงื่อนไขการกู้ยืมที่อยู่ที่ 1.75 เท่า ทั้งนี้ ในนามของทีมผู้บริหารของ MINT เรามีความตื่นเต้นที่จะเริ่มต้นบนเส้นทางของการฟื้นตัวและเริ่มสร้างการเติบโตให้กับบริษัทอีกครั้ง"

   
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine