เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล ประกาศแผนธุรกิจ เชื่อมโลกการเงินแบบเดิมสู่โลกดิจิทัล เกาะกระแสตลาดการเงินดิจิทัลโลก มูลค่าพุ่ง 40 ล้านล้านบาท เตรียมงบหมื่นล้านเดินหน้าหาพันธมิตร เข้าซื้อกิจการ พร้อมเปิดขายสิริฮับ คอยน์เดือนกันยายน มอง 2–3 ปี กำไรเติบโตสูง หลังปีนี้คาดแตะ 100 ล้านบาท
บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (XPG) หรือชื่อเดิมบริษัท ซีมิโก้ แคปิตอล จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่อและเพิ่มทุนจดทะเบียนใหม่ขายให้กับนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง 3 ราย ได้แก่ บมจ.แสนสิริ บริษัท วิริยะประกันภัย และนายมงคล ประกิตชัยวัฒนา ได้เงินจากการระดมทุนครั้งนี้กว่า 7,000 ล้านบาท และกระแสเงินสดอีก 3,000 ล้านบาท รวมเป็น 1 หมื่นล้านบาท พร้อมแผนธุรกิจก้าวสู่ ‘Digital Financial Service’ อย่างเต็มรูปแบบ ระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (XPG) เปิดเผยว่า ปีนี้ถือก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเอ็กซ์สปริง ทั้งการเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)” และระดมทุนได้สูงถึง 7,111 ล้านบาท จากพันธมิตร เช่น บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น เพื่อก้าวสู่การเป็น Digital Financial Service อย่างเต็มรูปแบบ การเพิ่มทุนทำให้เอ็กซ์สปริงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีสภาพคล่องทางการเงินสูง ด้วยเงินทุนจากสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม 3,094 ล้านบาท และสัดส่วนการเพิ่มทุนอีก 7,111 ล้านบาท ทำให้มีเงินทุนในมือกว่า 10,000 ล้านบาท ที่จะนำไปพัฒนาธุรกิจใน 3 ด้าน 1. ธุรกิจดิจิทัล การพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนรูปแบบดิจิทัล และสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจสำหรับบริการด้านการเงิน 2. ธุรกิจปัจจุบัน การขยายธุรกิจหลักทรัพย์และให้บริการโซลูชันทางการเงินแบบครบวงจรแก่ลูกค้า การสนับสนุนการลงทุนนอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity) การขยายธุรกิจบริหารจัดการกองทุนและสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงและความสามารถด้านเทคโนโลยี 3. ชำระคืนเงินกู้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ปัจจุบันเอ็กซ์สปริงประกอบด้วย 5 กลุ่มธุรกิจที่ให้บริการด้านการเงินทั้งแบบดั้งเดิมและดิจิทัล ได้แก่ ธุรกิจหลักทรัพย์ โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด ธุรกิจจัดการกองทุน โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์ เอ็กซ์สปริง เอ เอ็ม ซี จำกัด ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยบริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด และธุรกิจจัดการเงินลงทุน “เรามีเป้าหมายที่จะเติบโตในธุรกิจเทรดดิชั่นนอลให้เร็วที่สุด ขณะที่ดิจิทัล เป็นเอสเคิร์ฟใหม่ ซึ่งในตลาดโลกคริปโตใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เงินดิจิทัล เป็นเทรนด์ของโลก ผู้ที่เริ่มก่อนได้เปรียบ และเรามีโพสิชั่นชัดเจนว่าจะดำเนินธุรกิจที่ถูกต้อง รวมถึงให้ความสำคัญกับการคุ้มครองนักลงทุน” ระเฑียรกล่าวรุกตลาดการเงินดิจิทัล 40 ล้านล้านบาท
สำหรับในปี 2564 บริษัทวางแผนรุกธุรกิจครั้งใหญ่ มุ่งสู่การเป็น “Digital Financial Service” ผู้ให้บริการทางการเงินครบวงจร ที่จะเชื่อมโลกธุรกิจการแบบเงินเดิม สู่นวัตกรรมการเงินใหม่ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงโลกการเงินและการลงทุนได้สะดวกและง่ายดาย ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูง รวมทั้งสามารถเปิดรับข้อมูลการลงทุนได้อย่างครอบคลุม โปร่งใส และน่าเชื่อถือ ซึ่งนับเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงในตลาดโลก ระเฑียร กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจการเงินดิจิทัลมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก มีมูลค่ากว่า 40 ล้านล้านบาท (1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ) เฉพาะตลาดบิทคอยน์ มีมูลค่ากว่า 24 ล้านล้านบาท (8 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ) รวมทั้งในตลาดแพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) และ Decentralized Finance ที่มีขนาดกว่า 11.7 ล้านล้านบาท (3.9 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ) และ 1.35 ล้านล้านบาท (45,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ตามลำดับ นอกจากนั้น Utility Token และ Security Token เป็นการเงินดิจิทัลที่มีการเติบโตสูงเช่นกัน ด้วยขนาดตลาด 1.95 ล้านล้านบาท (64,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ทั้งนี้ เอ็กซ์สปริงวางเป้าหมายการเติบโตไปพร้อมตลาดโลกผ่านสินทรัพย์ที่จะมาแทนที่เงินสกุลต่างๆ เช่น คริปโทเคอเรนซี่ และการซื้อขายทองคำผ่านระบบดิจิทัล นอกจากนี้ทั่วโลกยังนำโทเคนดิจิทัลและระบบบล็อคเชนมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ โทเคนดิจิทัลที่อ้างอิงกับสินทรัพย์ดั้งเดิม เช่น ทอง ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น “เราเชื่อว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก (Disruption) ที่จะนำมาสู่โอกาสทางธุรกิจของเอ็กซ์สปริงอีกมากมายในอนาคต” ระเฑียรระบุ สำหรับผลิตภัณฑ์ ICO 2 ตัวที่จะออกในปีนี้ คือ “โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนสิริฮับ” (SiriHub Investment Token) ซึ่งเป็น Real Estate-backed ICO ตัวแรกของไทยที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คาดว่าจะเปิดการซื้อขายในเดือนกันยายนนี้ และ “Ready to use Utility Token” ที่เตรียมเปิดตัวเป็นครั้งแรกในวงการเอนเตอร์เทนเมนต์และ EV Charging Ecosystem ของประเทศไทย ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ ชาร์จ แมเนจเม้นท์ (SHARGE) ผู้ให้บริการชาร์จรถ EV ครบวงจร รวมถึงการเปิดรับคริปโทในการซื้อที่อยู่อาศัยและชำระค่าส่วนกลางของแสนสิริทุกโครงการ ถือเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยคาดกำไรแตะ 100 ล้านบาท
ระเฑียร กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการของเอ็กซ์สปริง แคปปิตอล ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ มีรายได้รวมส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนแล้ว 167 ล้านบาท สูงกว่ารายได้รวมส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนของทั้งปี 2563 ที่มีจำนวนรวม 141 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 791 และสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีกำไร 100 ล้านบาท ขณะที่รายได้ในปี 2565 จะเติบโตแบบก้าวกระโดด รวมทั้งกำไรจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ สำหรบจุดแข็งของเอ็กซ์สปริง คือ การมีพันธมิตร เงินทุนที่แข็งแกร่ง และการมี 17 ไลเซ่นส์ ในมือ และกำลังขอเพิ่มอีก 4 ไลเซ่นส์ โดยมีเป้าหมายที่จะรุกธุรกิจให้เติบโต ด้วยบทบาทของการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านการลงทุน การใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางธุรกิจของเอ็กซ์สปริง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทหลักทรัพย์ การมุ่งเน้นหุ้นขนาดกลาง (Mid-cap) เป็นหลัก การบริการครบวงจรสำหรับตลาดทุนและโซลูชันในการขายโทเคนดิจิทัล (ICO) การยกระดับความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจ และการสร้างทรัพยากรมนุษย์ (Human Capital) การพัฒนาประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ (AM) และการลงทุนในบริษัทที่อยู่นอกตลาด (PE) เพื่อดึงดูดกลุ่มมั่งคั่งที่มีจำนวนมากขึ้น ตลอดจนลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อเสนอขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบใหม่อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีแผนการเปิดตัวธุรกิจนายหน้าและผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital asset broker and dealer) ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และการขอใบอนุญาต Digital asset fund manager ที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ และ Open-architecture licenses เพื่อเพิ่มทางเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนให้แก่ลูกค้า ตลอดจนการหาโอกาสการลงทุนในบริษัทเอกชนที่มีศักยภาพสูงในอนาคต อ่านเพิ่มเติม: Banpu เข้าซื้อโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในรัฐเท็กซัสไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine