กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร-KKP มองเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นบ้าง ยังคงให้น้ำหนักกับปัจจัยที่มีผลกระทบหลัก คือ รายได้ภาคการเกษตร การลงทุนภาคเอกชน และตัวเลขการส่งออก ส่วนผลการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจ ครึ่งปีแรกเติบโตได้ตามแผน ครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะรักษาระดับการเติบโตได้ตามเป้า
อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประกอบไปด้วย ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) (บล.ภัทร) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด (บลจ.ภัทร) ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สามารถดำเนินงานได้ตามแผนธุรกิจที่วางไว้
เริ่มต้นจาก
ธุรกิจสินเชื่อ (Credit House) ของธนาคารขยายตัวได้ดี ครึ่งปีแรกโต 4.1% จากเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 5% เป็นผลจากการเติบโตของสินเชื่อบรรษัทที่เกิดจากการผสานความร่วมมือของสายสินเชื่อบรรษัทกับสายงานวานิชธนกิจของ บล.ภัทร ตลอดจนการทำงานอย่างเข้มข้นของเครือข่ายสาขาและสายงานช่องทางการตลาดและพัฒนาฐานลูกค้า เพื่อรุกตลาดสินเชื่อรายย่อย ผ่านผลิตภัณฑ์สินเชื่อบุคคล สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อ KK SME รถคูณ 3 ทั้งสามผลิตภัณฑ์นี้มีการขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทางด้าน
ธุรกิจตลาดทุน โดยเฉพาะส่วนของ Private Bank มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำ (Asset under Advice: AuA) อยู่ที่ 403,000 ล้านบาท (ไม่รวมเงินฝาก) โดยมียอดเงินลงทุนใหม่กว่า 22,000 ล้านบาท
และล่าสุด บล
.ภัทร ได้เปิดบริการใหม่ คือ
Global Investment Service (GIS) ซึ่งเป็นการให้บริการลงทุนต่างประเทศสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายไร้ข้อจำกัดด้านพรมแดน
ในส่วนของ บลจ.ภัทร มีการเติบโตที่ดีทั้งในส่วนของกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการของกองทุนกว่า 56,000 ล้านบาท มีกองทุนภายใต้การบริหาร 30 กองทุน (Mutual Fund 27, Property Fund 3) ส่วนกองทุนส่วนบุคคล มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารกว่า 15,600 ล้านบาท เติบโตกว่า 50% เมื่อเทียบกับปลายปี 2559 นอกจากนี้ ในส่วนของ Investment Banking บล.ภัทร ได้มีโอกาสร่วมทำงานในดีลที่สำคัญๆ อาทิ การเสนอขายหุ้น IPO ของ บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล และ บมจ.บี กริม เพาเวอร์
อภินันท์ กล่าวต่อว่า การทำงานร่วมกันของธนาคารและตลาดทุนภายใต้กลุ่มธุรกิจฯ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนสินเชื่อบรรษัทและสายตลาดการเงินของธนาคาร รวมถึงสายงานวานิชธนกิจและตลาดทุนของภัทร มีการนำเสนอบริการและผลิตภัณฑ์ร่วมกันจนสามารถสร้างรายได้ให้กับกลุ่มธุรกิจฯ เป็นอย่างดี
ทั้งนี้
ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของธนาคาร ให้มุมมองต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังว่าจะมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นบ้าง แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องจับตามอง 3 ประการ ได้แก่
- รายได้เกษตรกรเริ่มชะลอตัวลง จากราคาสินค้าเกษตรที่เริ่มปรับลดลง โดยเฉพาะยางและปาล์มน้ำมัน อาจทำให้การบริโภคในระยะต่อไปชะลอตัวลง
- อัตราการใช้กำลังการผลิตยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้การลงทุนภาคเอกชนไม่น่าจะปรับขึ้นได้เร็วนัก
- ภาคการส่งออกอาจชะลอตัวลงในระยะต่อไป จากราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและสินค้าเกษตรที่ปรับลดลงตามแนวโน้มราคาน้ำมันโลก และการแข็งค่าของเงินบาทที่จะกระทบต่อรายได้ผู้ส่งออกในรูปเงินบาท
ชวลิต จินดาวณิค ประธานสายการเงินและงบประมาณ
ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกปี 2560 เปรียบเทียบกับครึ่งปีแรกปี 2559 ว่า กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร มีกำไรสุทธิรวม 2,709 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ส่วนรายได้ แบ่งเป็นรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 5,194 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% โดยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจาก 4.7% เป็น 5.3% รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ 1,859 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% โดยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากที่ปรึกษาทางการเงินและรายได้จากการจำหน่ายหลักทรัพย์ รายได้รวมจากการดำเนินงานคือ 7,758 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2%
ในส่วนของสินเชื่อรวมนั้น มีมูลค่า 183,704 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% จากสิ้นปี 2559 มาจากสินเชื่อรายย่อย (สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย, Micro SMEs, สินเชื่อบุคคล) สินเชื่อบรรษัท และสินเชื่อ Lombard ในด้านคุณภาพของสินเชื่อ อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาส 2/2560 อยู่ที่ 5.8% เพิ่มขึ้นจาก 5.6% ณ สิ้นปี 2559 มาจากการปรับเพิ่มขึ้นของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง และสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงสิ้นปี 2559 อยู่ที่ 17.54% (เป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 14.20%) หากรวมกำไรถึงสิ้นไตรมาส 2/2560 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะเท่ากับ 18.64% (เงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 15.30%)
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2560 มียอดสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและค่าเผื่อการปรับมูลค่าจากการปรับโครงสร้างหนี้มีจำนวน 11,089 ล้านบาท โดยมียอดสำรองทั่วไปทั้งสิ้น 4,500 ล้านบาท อัตราส่วนสำรองทั้งสิ้นต่อสำรองตามเกณฑ์เท่ากับร้อยละ 185.1 เปรียบเทียบกับร้อยละ 169.8 ณ สิ้นไตรมาส 2/2559 และมีอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพเท่ากับร้อยละ 104.6 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 95.7 ณ สิ้นไตรมาส 2/2559