สรุปภาพรวมการลงทุนในครึ่งปีแรกและปัจจัยที่ต้องติดตามในครึ่งปีหลัง - Forbes Thailand

สรุปภาพรวมการลงทุนในครึ่งปีแรกและปัจจัยที่ต้องติดตามในครึ่งปีหลัง

สรุปภาวะเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นในครึ่งปีแรก

- นับจากต้นปี 2017 ตัวเลขเศรษฐกิจในเกือบทุกประเทศฟื้นตัวได้ดีทั้งภาคผลิตและภาคบริการ จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทรงตัวระดับสูง  อุปสงค์โลกที่ฟื้นตัว ส่งผลให้เงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้น ตลอดจนความหวังนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดี Donald Trump

- อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่เดือน เม.ย. ราคาน้ำมันดิบไม่สามารถยืนเหนือระดับ $50  ประกอบกับนักลงทุนเริ่มขาดความเชื่อมั่นในแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดี Trump ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นและดัชนีชี้นำเริ่มชะลอลงบ้าง  แต่ภาพรวมเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับขยายตัวค่อยเป็นค่อยไป

 

ตลาดเงิน

เราเห็นว่าธนาคารกลางในหลายประเทศมีมุมมองที่เป็นกลาง (Neutral) ในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มที่จะมีมุมมองเข้มงวดขึ้นต่อนโยบายการเงิน (Hawkish) เนื่องจากแนวโน้มเงินเฟ้อ และตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ดี ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับเพิ่มดอกเบี้ย 2 ครั้งในเดือน มี.ค.และ มิ.ย.

แม้ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 2 ครั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ กลับปรับตัวลดลง และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯกลับอ่อนค่า (Dollar Index -5% นับจากต้นปี) สะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อทิศทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

 

ตลาดหุ้น

ตลาดหุ้นอินเดีย เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์ ในช่วงครึ่งปีแรกปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นไปในทิศทางเดียวกับคาดการณ์ผลดำเนินงาน (EPS Growth)  ในขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป ปรับตัวเพิ่มหลังจากนักลงทุนคลายความกังวลประเด็นการเมืองในภูมิภาค ส่งผลให้ปัจจุบันตลาดหุ้นเหล่านี้เริ่มซื้อขายในระดับ P/E ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต

แผนภาพ: อัตราการเปลี่ยนแปลงดัชนีตลาดหุ้น, อัตราแลกเปลี่ยน, ค่าเงิน และสินค้าโภคภัณฑ์ นับจากต้นปี 2017  ถึงวันที่  30 มิ.ย. 2017

Source: Bloomberg

 

สรุปมุมมองในช่วงครึ่งปีหลัง

เศรษฐกิจ

เรามองว่าเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะยังขยายตัวดี แต่จะไม่ร้อนแรงเหมือนในช่วงครึ่งปีแรกเนื่องจาก  1) รัฐบาลจีนกลับมาเข้มงวดนโยบาย 2) ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นจำกัดย่อมส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ  3) ความหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ แผนปฏิรูปภาษีคาดจะเกิดขึ้นจริงในปี 2018

ตลาดเงิน

แนวโน้มดอลลาร์สหรัฐฯ มีโอกาสจะกลับมาแข็งค่าเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปี 2017 เนื่องจาก นโยบายของธนาคารกลางที่มีความแตกต่าง (Policy Divergence) โดยยังมองว่าในกลุ่มธนาคารกลางในประเทศขนาดใหญ่  มีแต่เพียงธนาคารกลางสหรัฐฯ เท่านั้นที่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย

สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการซื้อตราสารหนี้ในตลาดพันธบัตร คาดธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศลดขนาดงบดุลในเดือน ก.ย. และจะต้องจับตาธนาคารกลางยุโรปมากขึ้น เนื่องจากมีโอกาสที่จะส่งสัญญาณลดมาตรการ QE ลงเช่นกันโดยประเมินว่าจะประกาศลด QE ลงในเดือน ก.ย. สู่ระดับ 40 Billion Euro เริ่มต้นในเดือน ม.ค. 2018

อย่างไรก็ดี  ปัจจัยที่ต้องจับตาคือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดี Trumpหากมีความชัดเจน โดยเฉพาะการปฏิรูปภาษีเบื้องต้นคาดสภาจะพิจารณาในเดือน ต.ค.ย่อมสร้างความเชื่อมั่นและเป็นปัจจัยสนับสนุนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กลับมาแข็งค่า

ตลาดหุ้น

ในช่วงเดือน มิ.ย. เริ่มเห็นแรงขายทำกำไรของในราย Sector อาทิหุ้นในกลุ่ม IT ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาร้อนแรง และ เริ่มซื้อขายที่ระดับ P/E สูง

ส่งผลให้จากนี้เรามีมุมมองระมัดระวังมากขึ้นในการเข้าลงทุนในดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว และ ซื้อขายที่ระดับ P/E เหนือค่าเฉลี่ยมาก  ซึ่งมีความเสี่ยงในการปรับฐานราคาระยะข้างหน้า

ดังนั้น เราจึงแนะนำให้ลงทุนในดัชนีที่ยังปรับเพิ่มขึ้นไม่มาก และ ปัจจัยพื้นฐานยังไม่สูง (Laggard + Value)  เช่น ตลาดหุ้นญี่ปุ่น จีน และไทย

ปัจจัยที่ต้องติดตามในครึ่งปีหลัง