พรินซิเพิล แนะเพิ่มน้ำหนัก REITs รับเศรษฐกิจฟื้นครึ่งปีหลัง - Forbes Thailand

พรินซิเพิล แนะเพิ่มน้ำหนัก REITs รับเศรษฐกิจฟื้นครึ่งปีหลัง

บลจ.พรินซิเพิล ประเมินแนวโน้มการลงทุนครึ่งปีหลังธีม Recovery Play ชูกองทุน REITs ในไทยที่ราคายังปรับเพิ่มขึ้นช้ากว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว พร้อมรับอานิสงส์การระดมฉีดวัคซีนเตรียมเปิดประเทศหนุน REITs พ้นจุดต่ำสุดและเข้าสู่ช่วงพื้นตัวของราคา

จุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า จากการประเมินแนวโน้มการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังยังคงมั่นใจในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หรือ Real Estate Investment Trust (REITs) ซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนเนื่องจากราคาในปัจจุบันยังปรับตัวเพิ่มขึ้นช้ากว่าหุ้นหรือสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะ REITs ในประเทศไทยและกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ราคายังฟื้นตัวช้ากว่า REITs ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาที่มีการเร่งฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมาหลังจากพัฒนาวัคซีนได้เป็นผลสำเร็จ ส่งผลให้ราคา REIT ในกลุ่มค้าปลีกและโรงแรมปรับเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ขณะที่ REITs ในประเทศไทยเป็นตลาดที่น่าสนใจ เนื่องจากมีโอกาสที่ราคาและอัตราผลตอบแทนจะปรับเพิ่มขึ้น หลังจากรัฐบาลเริ่มกระจายวัคซีนที่รวดเร็วขึ้นนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564 และประกาศเป้าหมายการเปิดประเทศภายใน 120 วัน โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตามเนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อการลงทุน ได้แก่ การควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ภายในประเทศ การเร่งกระจายการฉีดวัคซีนที่รวดเร็วอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีผลต่อการเปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากประเทศไทยพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก ทำให้ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศมาก สำหรับปัจจัยบวกที่จะมีผลต่อการฟื้นตัวของราคา REITs ได้แก่ การผ่อนคลายนโยบายทางการเงินและการคลังของรัฐบาลแต่ละประเทศและธนาคารกลางทั่วโลกไปอีกระยะหนึ่ง รวมทั้งการระดมฉีดวัคซีนในประเทศต่างๆ โดยประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการเป็นหนึ่งในฐานการผลิตวัคซีน ตลอดจนปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศภายหลังที่ประเทศต่างๆ เร่งฉีดวัคซีนแก่ประชาชน ส่วนปัจจัยที่อาจส่งผลกดดันราคา REITs ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยงจากการลดวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE Tapering) ของสหรัฐอเมริกา เศรษฐกิจถูกกดดันจากการระบาดของโควิด-19 และไวรัสกลายพันธุ์กระทบเศรษฐกิจฟื้นตัวล่าช้า ด้านแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับ REIT มากนัก เห็นได้จากในช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 ที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสหรัฐอเมริกาปรับเพิ่มขึ้น แต่สินทรัพย์ต่างๆ เช่น REITs, หุ้น ก็ให้อัตราผลตอบแทนที่ดีขึ้นเช่นกัน “เราประเมินว่า REITs ในไทยกำลังเข้าสู่ช่วงฟื้นตัว หลังผ่านจุดต่ำสุดจากผลกระทบโควิด-19 ไปแล้วในปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะเห็นราคาปรับเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังสอดคล้องกับราคา REITs ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่ปรับเพิ่มขึ้นแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งสิ่งสำคัญคือการเร่งกระจายวัคซีนที่รวดเร็วได้อย่างต่อเนื่อง โดยมองว่ามีโอกาสที่ไทยจะสามารถฉีดวัคซีนในอัตราเฉลี่ย 300,000 โดสต่อวันไปจนถึงสิ้นปีนี้” ดังนั้น บริษัทจึงแนะนำให้เพิ่มพอร์ตการลงทุน REITs ในประเทศไทยที่ราคายังปรับเพิ่มขึ้นไม่มากนัก โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม ค้าปลีก ฮอสพิทาลิตี้ รวมถึงการลงทุน REITs ในสิงคโปร์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่นและฮ่องกง ซึ่งเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ เนื่องจากรัฐบาลของแต่ละประเทศได้เร่งเพิ่มปริมาณการฉีดวัคซีนต่อวัน “เรามองว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เป็นกลุ่ม Recovery Play ที่ได้ประโยชน์ในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว ประชากรได้รับวัคซีนมากขึ้น, อัตราผู้ติดเชื้อ Covid-19 น้อยลง, กิจกรรมทางเศรษฐกิจดีขึ้น กิจกรรมภายนอกบ้านมากขึ้น ขณะที่การกลับเข้ามาทำงานมากขึ้น ส่งผลเชิงบวกต่อค่าเช่าในพื้นที่ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อรายได้หลักของ REITs คือค่าเช่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ส่งผลให้กองทุนได้ผลตอบแทนดีขึ้น เราจึงแนะนำให้เพิ่มการลงทุนในกองทุน PRINCIPAL iPROP และ PRINCIPAL iPROPEN สำหรับการลงทุนในครึ่งปีหลังของปี 2564 นี้” ทั้งนี้ กองทุนเปิด PRINCIPAL iPROP มีนโยบายลงทุนใน REITs กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในไทยและสิงคโปร์ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยกองทุนได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ เช่น Frasers Centrepoint Trust ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศสิงคโปร์ที่มีมูลค่าสินทรัพย์รวม 6.65 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ ส่วนกองทุนเปิด PRINCIPAL iPROPEN มีนโยบายลงทุน REITs กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่นและฮ่องกง ซึ่งมีสินทรัพย์ที่เข้าลงทุน เช่น Dexus Property Group ออสเตรเลีย และสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการรวมมูลค่า 1.56 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ อ่านเพิ่มเติม: ธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับลดเศรษฐกิจไทย เหลือโตร้อยละ 1.8
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine