กำพล อดิเรกสมบัติ แนะปรับพอร์ตรับความกังวลเศรษฐกิจ - Forbes Thailand

กำพล อดิเรกสมบัติ แนะปรับพอร์ตรับความกังวลเศรษฐกิจ

กำพล อดิเรกสมบัติ SCB CIO ชี้ 3 กลยุทธ์หลักปรับพอร์ตการลงทุนในภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย รอจังหวะสะสมหุ้นสหรัฐ เน้นสะสมหุ้นกลุ่ม Reopening in ASEAN รองรับการเปิดเมืองของแต่ละประเทศ

กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตลาดการเงินโลกกำลังได้รับผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและแรงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และ ล่าสุดตลาดการเงินโลกเริ่มกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยหลังตัวเลขเศรษฐกิจส่งสัญญาณชะลอตัว และหดตัวในบางประเทศ โดยความกังวลเริ่มสูงขึ้นหลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไตรมาสแรกปีนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าออกมาติดลบ (-1.4% QoQ saar) ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการเร่งตัวของการนำเข้า ขณะที่การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังเติบโตได้ดี (2.7%) โดย SCB CIO ประเมินว่าโอกาสที่จะเกิดการถดถอยทางเทคนิค (technical recession) ในสหรัฐอเมริกาช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ยังมีค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตาม ประเทศจีนมีความเสี่ยงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 ของปีนี้มากกว่าคาดหลังการปิดเมืองเข้มข้น และมีแนวโน้มยืดเยื้อ รวมถึงยูโรโซนมีความเสี่ยงที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยโดยที่ภาวะเศรษฐกิจยังไม่พร้อม นอกจากนั้น ตลาดยังกำลังกังวลกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวแรงหรือเข้าขั้นถดถอย โดยประเมินว่าเฟดจะให้ความชัดเจนมากขึ้นในการประชุมเดือนมิถุนายนนี้ หากพิจารณาความเคลื่อนไหวในตลาดพันธบัตรและค่าเงิน SCB CIO มองว่า ตลาดการเงินโลกยังคงมีความผันผวน จนกว่าจะมีความชัดเจนจากเฟด โดยดัชนีภาวะการเงินของสหรัฐฯ (US Financial condition index) เริ่มตึงตัวใกล้ระดับปลายปี 2561 ที่มีการขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับสูงสุด 2.5% ในรอบการขึ้นดอกเบี้ยที่แล้ว “เราเชื่อว่าเฟด จะเริ่มพิจารณาประเด็นนี้มากขึ้น และส่งสัญญาณชัดเจนในการประชุม 14-15 มิ.ย.นี้ โดย SCB CIO ยังคงมุมมองคาดว่าเฟด จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 50 bps ในการประชุมในวันที่ 14-15 มิ.ย และ 26-27 ก.ค. นี้ หลังจากนั้นจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 25 bps ในอีก 3 การประชุมที่เหลือ ทำให้ Upper bound Fed fund target rate อยู่ที่ 2.75% ณ สิ้นปี 2022 แม้ความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอยจะสูงขึ้น แต่ผลประกอบการล่าสุดในกลุ่มประเทศ DM (สหรัฐฯ ยูโรป และญี่ปุ่น) และเวียดนาม ยังเติบโตได้และมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสแรกปีนี้ยังเห็นการเติบโตต่อเนื่องและทำได้ดีกว่าคาด”

รอทิศทางขาขึ้น

สำหรับปัจจัยเสี่ยงหลัก คือ ราคาน้ำมันในตลาดโลก และ การปิดเมืองในจีนที่อาจส่งผลกระทบต่อ supply chain โดย SCB CIO ประเมินว่า หากราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่เร่งตัวไปมากกว่าในกรอบ 100-110 USD/barrel ในช่วงครึ่งหลังของปี อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะเริ่มชะลอลงตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทำให้ความจำเป็นของเฟดที่จะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ส่งสัญญาณในการประชุมเดือน มิ.ย.นี้ จะมีค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตาม การปิดเมืองเข้มข้นในเมืองเศรษฐกิจหลักของจีนเป็นความเสี่ยงต่ออัตราเงินเฟ้อโลกที่ต้องระมัดระวังในช่วงที่เหลือของปี กำพล กล่าวถึงการปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงเวลาที่ตลาดคิดว่าเศรษฐกิจกำลังถดถอยว่า “SCB CIO แนะนำ 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ กลยุทธ์ Cash amidst uncertainty ในช่วงที่รอความชัดเจนจากเฟด เรายังคงแนะนำให้มีเงินสดใน portfolio สัดส่วนประมาณ 5%-10% และกลยุทธ์ Cost pass through to maintain profit margin ในกลุ่มตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว แม้จะมีมุมมอง Neutral แต่เราชอบตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอัตรากำไรสูง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่สามารถส่งผ่านต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นได้ โดยมีการเติบโตของค่าจ้างเป็นตัวช่วย ทั้งยังรอจังหวะสะสมหุ้นสหรัฐฯ เมื่อมีความชัดเจนมากขึ้นจากเฟด และกลยุทธ์ Reopening in ASEAN เราปรับมุมมอง หุ้นไทย เป็น Positive หลัง valuation กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ในขณะที่การเปิดเมือง มีความคืบหน้าต่อเนื่อง เราเชื่อว่าการเปิดประเทศของไทยจะทำให้กำลังซื้อในประเทศเริ่มฟื้นตัว จนพร้อมรับดอกเบี้ยขาขี้นได้ในปี 2566 ซึ่ง ธปท. น่าจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 และคงมุมมอง Positive ต่อ กลุ่มกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อาเซียน (Asian REITs)” สำหรับมุมมองด้านค่าเงินบาท SCB CIO ประเมินว่า US dollar index อยู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 20 ปีและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่ยังขาดดุล ส่งผลแรงกดดันทำให้เงินบาทไทยอ่อนค่า น่าจะรุนแรงสุดในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ แต่ในระยะข้างหน้า การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยน่าจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นตามการคาดการณ์การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ รวมกับ US dollar index ที่น่าจะเริ่มชะลอตัวลงบ้างหลังมีความชัดเจนจาก dot plot ของเฟดในช่วงเดือน มิ.ย.นี้ โดยคาดการณ์ USDTHB เคลื่อนไหวในกรอบ 33.75-34.5 ในไตรมาส 2 ปีนี้และเริ่มแข็งค่าขึ้นในกรอบ 33-34 ในช่วงครึ่งหลังของปี นอกจากนี้ SCB CIO ยังคงมุมมอง Positive กับตลาดหุ้นเวียดนาม ประเมินความผันผวนเป็นปัจจัยระยะสั้นเนื่องจากตลาดหุ้นเวียดนามมีนักลงทุนรายย่อยเป็นผู้ลงทุนหลัก แต่การฟื้นตัวของการส่งออก และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จะยังเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เศรษฐกิจในประเทศ และผลประกอบการ ยังเติบโตต่อเนื่อง และยังคงมุมมอง Neutral ต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนที่ยังคงถูกกดดันจากนโยบาย Zero COVID policy อ่านเพิ่มเติม: ตลาดฟื้น “โนเบิล” ทำพรีเซลไตรมาสแรกโต จับมือกลุ่มบีทีเอสเปิด “โนเบิล ครีเอท

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine