"แบงก์ชาติ" ประเมินโควิดระลอก 3 กระทบหนักกว่าระลอก 2 แต่น้อยกว่าระลอกแรก กลุ่มโรงแรม ร้านอาหารซีมยาว หวั่นจ้างงานมีปัญหาระยะยาว ลุ้นฉีดวัคซีนเร็ว ฟื้นเศรษฐกิจ เร่งออกมาตรการช่วยรายย่อย 4 กลุ่มสินเชื่อ เริ่ม 17 พฤษภาคม นี้
ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ ได้ประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ หลังการแพร่ระบาดของโควิด 19 ระลอก 3 ในประเทศไทย ที่แม้การระบาดจะมีความรุนแรงกว่าสองระลอกที่ผ่านมา แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจมีน้อยกว่า เนื่องจากภาคการส่งออกเริ่มฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และร้านอาหาร ยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าออกไป
ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 13 ระลอก 3 มีความรุนแรงมากกว่าระลอกที่ผ่านมา ทั้งจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่มากกว่า อัตราการแพร่เชื้อที่กระจายอย่างรวดเร็ว รวมถึงจำนวนผู้ป่วยหนักที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางเศรษฐกิจไม่รุนแรงเท่าระลอกแรก เพราะบางกลุ่มสามารถดำเนินธุรกิจได้ โดยเฉพาะการส่งออก เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าเริ่มฟื้นตัว
“สถานการณ์ล่าสุด การระบาดของโรคมีความไม่แน่นอนสูง ยอดผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับสูง เดิมช่วงปลายเดือนเม.ย. เราประมาณการณ์ว่าจำนวนผู้ป่วยรายวันจะสูงกว่านี้ แต่สถานการณ์ปัจจุบันจำนวนผู้ที่รักษาหายเพิ่มขึ้นด้วย สะท้อนให้เห็นว่าจำนวนผู้ป่วยที่ต้องการเตียงทรงตัว ระบบสาธารณสุขยืดหยุ่นได้ ไม่ร้ายแรงมากนัก” ชญาวดี กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากการติดตามข้อมูลเร็ว โดย Google mobility report พบว่า การระบาดระลอก 3 ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับลดลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผลสำรวจผู้ประกอบการในธุรกิจโรงแรม พบว่ายอดจองห้องพักหลังสงกรานต์ถูกยกเลิกกว่าครึ่ง อัตราการเข้าพักเหลือไม่ถึงร้อยละ 18 ขณะที่ผลสำรวจล่าสุดในเดือนพฤษภาคม อัตราการเข้าพักเหลือไม่ถึงร้อยละ 10
ทั้งนี้ ธปท.ประเมินว่าการระบาดระลอก 3 ส่งผลต่อการใช้จ่ายในประเทศ (%GDP) อยู่ที่ร้อยละ 1.4 – 1.7 สูงกว่าระลอกสอง อยู่ที่ร้อยละ 1.2 แต่น้อยกว่าระลอกแรก ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2.2
ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ท่องเที่ยวกระทบต่อเนื่อง
ชญาวดี กล่าวว่า การระบาดในระลอก 3 ผลกระทบในเชิงกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไม่รุนแรงเท่าระลอกแรก แต่ในมิติด้านการท่องเที่ยว การระบาดระลอกนี้ที่รวดเร็วและรุนแรงกว่าสองระลอกที่ผ่านมา ทำให้การเปิดประเทศช้าออกไป กระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวได้ช้า ซึ่งธปท.ประเมินผลกระทบเป็น 3 ฉากทัศน์ (Scenario) ขึ้นอยู่กับการกระจายและฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้น
กรณีแรก หากมีการจัดหาวัคซีนได้ 100 ล้านโดสภายในปี 2564 และเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ภายใจไตรมาสแรกของปี 2565 คาดว่าจะสามารถเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวได้ในไตรมาส 3 ของปี 2565 จะทำให้จีดีพีขยายตัวร้อยละ 2 ในปี 2564 และร้อยละ 4.7 ในปี 2565
กรณีที่สอง ซึ่งเป็นไปตามแผนที่ประเมินไว้ครั้งแรก คือหากจัดหาวัคซีนได้ 64 ล้านโดสภายในปี 2564 และเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ภายในไตรมาสสามของปี 2565 คาดว่าจะสามารถเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวได้ในไตรมาส 4 ของปี 2565 จะทำให้จีดีพีขยายตัวร้อยละ 1.5 ในปี 2564 และร้อยละ 2.8 ในปี 2565
กรณีที่สาม หากการจัดหาและกระจายวัคซีนได้น้อยกว่าแผนที่วางไว้ จะทำให้การฟื้นตัวยิ่งล่าช้าออกไป
“สิ่งที่กังวล คือแรงงานในภาคบริการ ที่ว่างงานในระยะเวลานานขึ้น จะส่งผลให้เกิดแผลเป็นทางเศรษฐกิจ ที่มีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป เพราะแรงงานที่ว่างงานยาวขึ้น ในที่สุดอาจต้องออกจากตลาดแรงงาน เพราะขาดทักษะต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจตามมา” ชญาวดี กล่าว
ทั้งนี้ ธปท.ประเมินว่าสถานการณ์ระบาดที่ยังคงมีความไม่แน่นอน ผันผวน ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจและธุรกิจไม่เท่ากัน โดยกลุ่มอุตสาหกรรม ผลกระทบไม่มากนัก โดยเฉพาะบริษัทส่งออก ช่วงที่ผ่านมา ได้มีการปรับตัวโดยใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคน ซึ่งอาจมีผลต่อตลาดแรงงานในระยะยาว
สำหรับภาคค้าปลีกและภาคบริการ มียอดขายลดลงในทุกสาขา มีการปรับตัวโดยใช้โปรโมชั่น การช่วยเหลือผู้เช่า ส่วนกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร การขนส่งมวลชน ได้รับผลกระทบมาก มีการปรับรูปแบบการทำงาน การจ้างงานที่ลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวระยะต่อไป
“เรามองว่าสถานการณ์ระบาดยังผันผวน รุนแรง อาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจในระดับสูงได้ ตัวแปรสำคัญ คือวัคซีน ซึ่งทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกัน รวมทั้งภาคประชาชนด้วย ต้องเร่งฉีดวัคซีนเพื่อทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาได้เร็ว”
ชญาวดีกล่าว
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/05/มาตรการช่วยเหลือ_001-724x1024.jpg)
ออกมาตรการระยะสามช่วยรายย่อย
สำหรับในระยะสั้นกลุ่มธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร รวมทั้งแรงงานในภาคบริการได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องหลายรอบ นอกจากการว่างงานแล้ว ยังทำให้ฐานะการเงินแย่ลงเรื่อยๆ ธปท.จึงเร่งออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพิ่มเติมในระยะ 3 ซึ่งจะให้มีผลในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล มีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมเปลี่ยนเป็นหนี้ระยะยาว หรือลดค่างวด กรณีที่ขยายเวลาเกิน 48 งวด ขอความร่วมมือสถาบันการเงินคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน MRR หรือประมาณร้อยละ 6 และให้สามารถรวมกับหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยได้และสินเชื่อรายย่อยอื่นๆได้
สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ให้ลดค่างวด กรณีลูกหนี้ได้รับผลกระทบรุนแรง ให้พิจารณาพักชำระค่างวด หรือคืนรถ สำหรับลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ รวมทั้งให้รวมกับหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยได้และสินเชื่อรายย่อยอื่นๆได้
สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์ ให้ลดค่างวด หรือขยายเวลา กรณีลูกหนี้ได้รับผลกระทบรุนแรง ให้พิจารณาพักชำระค่างวด หรือคืนรถ สำหรับลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ รวมทั้งให้รวมกับหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยได้และสินเชื่อรายย่อยอื่นๆได้
สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ให้บรรเทาภาระหนี้ โดยลดค่างวด หรือพักเงินต้น พิจารณาจ่ายดอกเบี้ยบางส่วน หรือพักเงินต้น พิจารณาลดอัตราดอกเบี้ย หรือพักชำระค่างวด แนวทางที่สองให้ทยอยคืนเป็นขั้นบันได ตามความสามารถของลูกหนี้ หลังลดค่างวดหรือพักชำระหนี้ และให้รวมหนี้กับสินเชื่ออื่นๆ ได้
อ่านเพิ่มเติม:
TVI อัพนวัตกรรมย้ำ Insurtech คาดดันเบี้ยรับรวมแตะ 6.5 พันล้านบาทในปี 64
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine