เอกชนเร่งรัฐบาลใหม่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ - Forbes Thailand

เอกชนเร่งรัฐบาลใหม่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ

ภาคเอกชนเร่งรัฐบาลชุดใหม่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ หลังส่งออกทรุดตัวกว่าที่คาด หอการค้าเสนอ 3 ข้อเร่งดำเนินการใน 100 วัน แก้ปัญหาปากท้อง ท่องเที่ยว ลุ้นดึงจีดีพีขึ้น 3% ปีนี้ ขณะที่นโยบายแจกเงินดิจิทัลหมุนเงิน 1.5 ล้านล้านบาทปี 2567 ตลาดทุนหวังฟันด์โฟลว์ไหลเข้าช่วงครึ่งปีหลัง


    ภายหลังการรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย เดินหน้าทำงานทันทีด้วยการลงพื้นที่จ.ภูเก็ต ติดตามสถานการณ์การท่องเที่ยวที่กำลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ซึ่งเป็นความหวังของเศรษฐกิจไทย หลังจากภาคการส่งออกทรุดตัวมากกว่าที่คาด โดยเดือนก.ค. 2566 ติดลบหนักถึง 6.2% ทำให้ภาคเอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยด่วน เพื่อดึงจีดีพีในช่วงโค้งสุดท้ายให้กลับมายืนเหนือ 3%

    

หอการค้าเสนอ 3 ข้อ แก้ด่วน

    

    สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ประเด็นข้อเร่งด่วนที่หอการค้าฯ ต้องการส่งสัญญาณถึงรัฐบาลใหม่เพื่อให้เร่งดำเนินการทันทีในช่วง 100 วันแรก ของการรับตำแหน่ง ได้แก่

      1. การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชน และลดต้นทุนภาคเอกชนทั้งค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า ที่ยังอยู่ในระดับสูงและปัญหาที่กระทบต่อการแข่งขันและการส่งออกของไทย รวมทั้งการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ

      2. เร่งเสริมความโดดเด่นภาคการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายและถือเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกเรื่องการทำวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนให้รวดเร็ว และการเพิ่มเที่ยวบินรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น

      3. เร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่ยังค้างท่ออยู่ และจัดทำงบประมาณรายจ่าย 2567 ให้เกิดความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนแผนงานต่างๆ ทั่วประเทศ ตลอดจนเร่งสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ จากต่างชาติ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการจ้างงาน และเป็นผลดีต่อตัวเลขการส่งออกในอนาคต

    “หอการค้า หารือกับกรรมการและสมาชิก นำข้อเสนอถึงรัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการทันที เพราะวันนี้ต้องยอมรับว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะซึมตัวต่อเนื่อง รวมถึงปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ยังมีความรุนแรงอยู่ หากประเทศไทยมีรัฐบาลในช่วงเวลานี้ก็จะสามารถช่วยดึงความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและภาคธุรกิจต่าง ๆ กลับมาที่ประเทศไทยได้ ขณะนี้เศรษฐกิจไทยเองก็มีความน่าเป็นห่วง จากตัวเลขของสภาพัฒน์ไตรมาสสอง จีดีพีโตเพียง 1.8% (ต่ำกว่าที่คาดไว้ 3.0%) ทำให้ครึ่งปีแรกจีดีพีโตเพียง 2.2% ความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตหลุดเป้า 3.0% ในปีนี้” สนั่นกล่าว

    ทั้งนี้ หอการค้าฯ มั่นใจว่าหากรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ จะมีการเน้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจังและตรงจุด รวมถึงดำเนินการตาม 3 ประเด็นเร่งด่วนตามข้อเสนอของหอการค้าไทย ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้กลับมาเติบโตได้โดดเด่น และทำให้ภาพรวมสามารถเติบโตตามเป้าหมายได้เกิน 3.0%

    

หวังเงินดิจิทัลหมุนเศรษฐกิจ 1 ล้านล้านบาท

    ขณะที่นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ออกมาให้ความเห็นถึงนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ว่าสามารถดำเนินการได้ทันที แม้จะต้องใช้เงินประมาณสูงกว่า 5 แสนล้านบาท และจะไม่ส่งผลกระทบต่อหนี้สาธารณะ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วน 61% ต่อจีดีพี คาดว่าการใช้เงินดิจิทัล ทุก 1 แสนล้านบาท จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.5-0.7% หากใช้ 5 แสนล้านบาท จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นอีก 2-3% เป็นอย่างน้อย ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีโอกาสขยายตัวได้ประมาณ 5-7% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 3-4%

    “นโยบายแจกเงินดิจิทัล จะทำให้มีเงินจะหมุนเวียนเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า จาก 5 แสนล้านบาท ขยายเป็น 1-1.5 ล้านล้านบาท จะหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหลายรอบ แต่ต้องดูว่ารัฐบาลจะใช้เมื่อไหร่ และใช้อย่างไร หากใช้เต็มจำนวน 5 แสนล้านบาททันที เงินงบประมาณจะถูกใช้ได้ทันที จากกรอบงบประมาณปี 2567 ที่รัฐบาลชุดเดิมตั้งไว้ที่ 3 ล้านล้านบาท ต้องหารือสำนักงบประมาณเพื่อชะลอโครงการอื่นออกไปก่อน” ธนวรรธน์ระบุ

    ตอนนี้มีการประเมินว่าการใช้งบประมาณเงินดิจิทัล 10,000 บาท อาจเกิดขึ้นภายในเดือนเม.ย. 2567 ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยจะมีแรงกระตุ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี ทำให้เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณการฟื้นตัวได้ดี

    ขณะที่การส่งออกของไทยทรุดตัวมากกว่าที่คาด โดยเดือนก.ค. 2566 ติดลบ 6.2% เนื่องจากการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญลดลงเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะตลาดจีน ที่เผชิญปัจจัยท้าทายทั้งภายในและภายนอกทั้งวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ภาวะการชะลอตัวของตลาดจีนส่งผลกระทบไปทั่วโลก โดยเฉพาะอาเซียน รวมทั้งไทยที่พึ่งพาเศรษฐกิจจีนค่อนข้างสูงทั้งภาคการส่งออกและท่องเที่ยว โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการส่งออกจะหดตัวลงอีก 1.2% จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

    

ลุ้นฟันด์โฟลว์ไหลเข้าปลายปี

    

    กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ หากการจัดตั้งรัฐบาลมีความชัดเจน คาดว่าจะมีเงินลงทุนจากต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ซึ่งต้องรอดูความชัดเจนของนโยบายต่างๆ ที่จะช่วยผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

    “ผมเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและตลาดทุนของไทย เรากำลังจะได้รัฐบาลใหม่ ซึ่งนายกฯคนใหม่ที่ได้รับเลือกก็มาได้ถูกจังหวะ เพราะคุณเศรษฐาเองมาจากภาคเอกชน ผมเชื่อว่าคุณเศรษฐาสามารถนำพาประเทศไปได้ในอีกระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ”

    ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความหวังเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งในระหว่างสัปดาห์ก็มีความชัดเจนเกี่ยวกับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการภาครัฐ

    ขณะที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยอีกครั้ง หลังจากขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์ อย่างไรก็ดีกรอบการปรับขึ้นของหุ้นไทยเริ่มจำกัดในช่วงปลายสัปดาห์ หลังตอบรับประเด็นบวกภายในประเทศไปพอสมควร ประกอบกับหุ้นภูมิภาคปรับตัวลงระหว่างรอติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟดจากงานประชุมสัมมนาประจำปีที่เมืองแจ็กสันโฮล

    บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์นี้ มีแนวรับที่ 1,540 และ 1,515 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,565 และ 1,580 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศ และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน เป็นต้น

    

    อ่านเพิ่มเติม ; เจ เวนเจอร์ส จับมือ นิด้า ลงนาม MOU เตรียมผุดโปรเจ็คสร้างประสบการณ์ตรงให้นักศึกษาจากมืออาชีพ

    ​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine