หลังจัดตั้งรัฐบาล ทำให้บรรยากาศเศรษฐกิจไทยกลับมาคึกคัก สะท้อนผ่านดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค.ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคมีความหวังกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทั้งเงินดิจิทัล และมาตรการฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีน คาซัคสถาน ที่จะเพิ่มเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวอีก 50,000 ล้านบาท ในช่วงโค้งสุดท้าย ส่งต่อโมเมนตัมปี 2567 เศรษฐกิจไทยมีโอกาสโตได้ 4-5%
หลังการจัดตั้งรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมแถลงนโยบายต่อรัฐสภาสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้บรรยากาศเศรษฐกิจในประเทศเริ่มกลับมาคึกคัก โดยนายกรัฐมนตรีเร่งขับเคลื่อนนโยบายตามที่หาเสียงไว้ ทั้งมาตรการลดค่าครองชีพ ลดค่าน้ำมัน ค่าไฟ การประกาศมาตรการฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีน คาซัคสถาน ที่คาดว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยในช่วงปลายปีนี้
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนสิงหาคม 2566 ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ หลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลลสลายขั้วการเมืองต่าง ๆ ที่มีความเห็นแตกต่างกัน ขณะที่ความขัดแย้งทางการเมืองมีแนวโน้มคลี่คลายลง โดยดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 51.6 53.9 และ 65.2 ตามลำดับ
สลายขั้วการเมืองเศรษฐกิจเดินหน้า
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคตปรับตัวค่อนข้างสูง จากการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ มีการสลายขั้วการเมืองและไม่มีสถานการณ์รุนแรง ทำให้มุมมองของผู้บริโภคเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 46 เดือน หรือเกือบ 4 ปี ดังนั้นหากรัฐบาลเศรษฐา เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็ว จะยิ่งสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ และจะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ปีนี้ และปี 2567
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับธุรกิจท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นสูงกว่าระดับ 50 ซึ่งจากมาตรการฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีน และคาซัคสถานคาดว่าจะทำให้การท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาประเทศไทยอยู่ที่ 2.2 ล้านคน เดือนส.ค.เดินทางเข้ามาประมาณ 3 แสนคน คาดว่าจากมาตรการฟรีวีซ่า จะทำให้ช่วงปลายปีมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาประมาณ 8 แสนคนต่อเดือน ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวจีนเป็นไปตามเป้าหมายที่ 5 ล้านคน และมีเม็ดเงินในการใช้จ่ายกว่า 50,000 ล้านบาท
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ มองว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 5% รวมทั้งปี 2566 คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ประมาณ 3% สอดคล้องกับมุมมองของภาคธุรกิจที่คาดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นจากนี้ไป แต่ยังมีความกังวลในภาคอุตสาหกรรม การส่งออกที่ยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน แต่มองว่าไม่มีนัยยะเชิงลบที่รุนแรง ส่วนเงินดิจิทัล 5 แสนล้านบาท จะส่งผลต่อเศรษฐกิจ 1 - 1.5% ช่วยหมุนเงินในระบบ 2 - 3 รอบ หรือเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท
“เชื่อว่าหากสถานการณ์ค่อย ๆ ดีขึ้น คนกลับมาจับจ่ายมากขึ้น ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคมีโอกาสกลับมายืนเหนือระดับ 100 จุดได้ ซึ่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของรัฐบาล ทั้งการลดค่าครองชีพ เงินดิจิทัล และฟรีวีซ่า จะทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีโอกาสกลับมาขยายตัวได้ที่ 4 - 5%” ผศ.ดร.ธนวรรธน์กล่าว
ศูนย์วิจัยกสิกรคาดนักท่องเที่ยว 30 ล้านคน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 2566 น่าจะอยู่ที่ 27.6 ล้านคน ขณะที่ปี 2567 จะเพิ่มมาอยู่ที่ 31 ล้านคน เพราะแม้ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติจะได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการฟรีวีซ่า แต่กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนยังมีแรงกดดันจากเศรษฐกิจในประเทศ และข้อจำกัดของเส้นทางการบิน ทำให้ช่วงที่เหลือของปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนจะมาเพิ่มเป็น 3.5 - 4 แสนคนต่อเดือน จากช่วง 8 เดือนแรกอยู่ที่ประมาณ 2.8 แสนคนต่อเดือน
ปัจจุบัน สัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเที่ยวไทยอยู่ที่ประมาณ 67% เมื่อเทียบกับปี 2562 ขณะที่ตลาดนักท่องเที่ยวหลัก อาทิ จีน สปป.ลาว และญี่ปุ่นยังกลับมาไม่ถึง 50% นอกจากนี้ ยังมีประเด็นผลกระทบกับบ้างตลาด เช่น อินเดีย ที่รัฐบาลอินเดียจะเพิ่มเพดานการจัดเก็บภาษีการโอนเงินออกนอกประเทศ จากเดิม 5% เป็น 20% ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดนักท่องเที่ยวอินเดียบางส่วน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีข้อเสนอแนะนอกจากจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวแล้ว ต้องเพิ่มมค่าใช้จ่ายต่อทริปให้สูงขึ้น ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกิจกรรมการท่องเที่ยวที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง เช่น ท่องเที่ยวเชิงกีฬา การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการรักษาพยาบาล หรือการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทยและได้รับการยอมรับทั่วโลก
สำหรับทิศทางตลาดเงิน-ตลาดทุนในสัปดาห์นี้ ต้องติดตามการประชุมเฟดวันที่ 19 - 20 ก.ย.นี้ ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) มีความผันผวน ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าที่สุดในรอบ 9 เดือน เป็นผลจากการ่อนค่าของเงินหยวน ท่ามกลางความกังวลปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงทิศทางเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ และตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งตลาดประเมินว่า แม้เฟดยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25 - 5.50% ในการประชุมรอบนี้ แต่มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้
อ่านเพิ่มเติม : BBIK โชว์ฟอร์มแกร่งกำกับดูแลกิจการตามหลักบรรษัทภิบาล คว้า 100 คะแนนเต็ม AGM Checklist 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine