มติผู้ถือหุ้น “บางจาก” ล่าสุด 99.9% อนุมัติซื้อหุ้น “เอสโซ่” 5.5 หมื่นล้าน ด้านซีอีโอบริษัท มั่นใจภายในไม่เกิน 3-4 ปีจะคืนทุน ส่วนประเด็นผู้บริโภคใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลงยังเป็นเรื่องอนาคตในอีก 15 ปีข้างหน้าเพราะปัจจุบันความต้องการใช้น้ำมันยังโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่ม บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวภายหลังการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ว่า ที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติกว่า 99.9% อนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญและการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดใน บริษัท เอสโช่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประกอบด้วย
1. การเข้าซื้อหุ้นสามัญโดยตรงจำนวน 2,283,750,000 หุ้น ในเอสโซ่ (ประมาณ 65.99% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของเอสโซ่ ณ วันที่ 30 ก.ย.2565 จากผู้ขาย ExxonMobil Asia Holdings Pte.Ltd. โดยบริษัทฯ ได้ทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับผู้ขายเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2566
2. การทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญที่เหลือทั้งหมดในเอสโซ่ เป็นจำนวนไม่เกิน 1,177,108,000 หุ้น (ประมาณ 34.01%) ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของเอสโซ่ ณ วันที่ 30 ก.ย. 2565 ภายหลังจากที่ธุรกรรมการซื้อขายหุ้นเสร็จสิ้น
ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ.12/2554 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ (ประกาศการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ) เพื่อได้มาซึ่งหุ้นที่เหลือทั้งหมดในเอสโชในราคาเดียวกันกับราคาซื้อหุ้นเอสโซในธุรกรรมการซื้อขายหุ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าเงื่อนไขบังคับก่อนภายใต้สัญญาซื้อขายหุ้นจะเสร็จสมบูรณ์และสามารถทำการซื้อขายหุ้นที่ซื้อขายได้ภายในระยะเวลา 12 เดือนหลังจากวันที่ของสัญญาซื้อขายหุ้น โดยเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนสำเร็จเสร็จสิ้น
สำหรับการซื้อเอสโซ่ครั้งนี้ ถือเป็นกลยุทธ์ระยะยาวทำให้บริษัทฯ ไม่ต้องขยายโรงกลั่นแห่งที่ 2 จากเดิมโรงกลั่นบางจากมี 1 แห่งที่สุขุมวิท กำลังการผลิต 174,000 ล้านบาร์เรล และโรงกลั่นน้ำมันเอสโซ่ขนาด 174,000 ล้านบาทบาร์เรล รวมเป็น 294,000 ล้านบาร์เรล
ส่วนสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ 700-800 สาขา รวมกับบางจากอีก 1,300 สาขา เป็น 2,100 สาขา ถือเป็นผู้นำสถานีบริการน้ำมันที่ขณะนี้จะเบอร์ 1 2 หรือ 3 ก็มีจำนวนระดับนี้ ส่วนระบบท่อ บริษัทฯ ได้สิทธิ์เข้าไปใช้ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ในเรื่องของราคาหุ้นสุดท้ายที่เข้าซื้อนั้น จะต้องรองบการเงินปิด ตามแผนไตรมาส 2/2566 โดยขั้นตอน 2ใน 3 ที่บังคับจบแล้ว เหลือขั้นตอนสุดท้ายคือ คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ซึ่งคาดว่าช่วงเดือน ก.ค. 2566 เชื่อว่าจะอยู่ในราคาที่คำนวนไว้ที่ 8-9 บาท ซึ่งคาดว่าจะต้องหารือกับสถาบันทางการเงินในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. 2566
สำหรับประเด็นในอนาคตที่ยอดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอาจลดลงนั้น ชัยวัฒน์ ยังกล่าวด้วยว่า หากดูข้อมูลจากกรมธุรกิจพลังงานในช่วง 3-4 ปีนี้ การบริโภคน้ำมันยังโตเพิ่มขึ้นตลอด ดังนั้นประเด็นดังกล่าวกว่าจะเกิดผลกระทบจริงก็น่าจะอีก 12-15 ปี ข้างหน้า
รวมทั้งการเข้าซื้อกิจการเอสโซ่ในครั้งนี้เป็นมูลค่า 5.5 หมื่นล้านบาท มั่นใจว่าภายในไม่เกิน 3-4 ปีก็สามารถคืนทุนได้และยังสามารถทำ EBITDA ได้ปีละไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท
อ่านเพิ่มเติม: ซีอีโอ Starbucks เล็งให้ผู้บริหารเรียนรู้งานในสาขาหาจุดบอดธุรกิจ
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine