บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เคดับบลิวไอ จำกัด เจาะตลาดการลงทุนตราสารหนี้ เตรียมออก “กองทุนเปิด เคดับบลิวไอ พันธบัตรรัฐบาล 6M1 (KWI GOV6M1)” เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุประมาณ 6 เดือน คาดผลตอบแทนสุทธิประมาณ 1.85% ต่อปี ขั้นต่ำการลงทุนครั้งแรก 1,000 บาท พร้อมเปิดเสนอขาย (IPO) 22-25 สิงหาคม 2566 นี้
สุรเชษฐ์ ศรีวัฒนกุลวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เคดับบลิวไอ จำกัด กล่าวว่า “จากสถานการณ์การผิดนัดชำระหนี้ของหลายบริษัทในประเทศไทยที่ทยอยเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในปีนี้ทำให้นักลงทุนจำนวนมากยังมีความกังวลเกี่ยวกับการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนไทย และต้องการแหล่งพักเงินลงทุนที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำในเวลานี้ ประกอบกับหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 2 ส.ค. ที่ผ่านมาว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายได้เข้าใกล้ระดับที่เหมาะสมแล้วนั้น
บลจ. เคดับบลิวไอ จึงเตรียมเปิดเสนอขาย กองทุนเปิด เคดับบลิวไอ พันธบัตรรัฐบาล 6M1 (KWI GOV6M1) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้แบบ Rollover ที่เปิดให้ซื้อขายหน่วยลงทุนทุกรอบระยะเวลาประมาณ 6 เดือน โดยมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐทั้งในและ/หรือต่างประเทศ เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตร หรือตราสารหนี้ที่รัฐบาล กระทรวงการคลัง หรือธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นเป็นผู้ออก ผู้สั่งจ่าย ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้คํ้าประกัน เป็นต้น โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลืออาจพิจารณาลงทุนในตราสารหนี้ และ/หรือเงินฝากของสถาบันการเงิน และ/หรือตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และ/หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด
รวมทั้งมีกลยุทธ์การลงทุนแบบ buy-and-hold ที่จะลงทุนและถือตราสารแต่ละตัวจนครบอายุ ทำให้กองทุน KWI GOV6M1 นี้ จำกัดความเสี่ยงทั้งทางด้านเครดิตและด้านสภาพคล่อง ตลอดจนด้านความผันผวนของมูลค่าหน่วยลงทุนจากการ mark-to-market จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการลงทุนระยะสั้นที่น่าสนใจ ทั้งนี้ สำหรับรอบระยะเวลาการลงทุน 6 เดือนแรก กองทุน KWI GOV6M1 จะลงทุนเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลไทย อายุประมาณ 6 เดือน โดยมีประมาณการผลตอบแทนสุทธิที่ 1.85% ต่อปี”
อ่านเพิ่มเติม :
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine