นักลงทุนห่วงนโยบายเศรษฐกิจก้าวไกลทุบหุ้น - Forbes Thailand

นักลงทุนห่วงนโยบายเศรษฐกิจก้าวไกลทุบหุ้น

สองสัปดาห์หลังเลือกตั้ง ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเกือบ 1 แสนล้านบาท นักลงทุนยังจับตาการจัดตั้งรัฐบาล หวั่นนโยบายเศรษฐกิจพรรคก้าวไกลกระทบกำไรบริษัทจดทะเบียน ด้านปัจจัยภายนอก เจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐคืบ แนะกลยุทธ์ลงทุนกลุ่มค้าปลีก ธนาคาร ชี้หุ้นสหรัฐ จีน เวียดนามแนวโน้มดี


    ผ่านมาแล้วสองสัปดาห์หลังการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทย ดัชนีตลาดหุ้นยังลดลงต่อเนื่อง สัปดาห์แรกลดลงกว่า 40 จุด ขณะที่สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะดีขึ้นเล็กน้อย แต่การจัดตั้งรัฐบาลและการแย่งชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรสะท้อนความไม่ชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่การออกมาให้สัมภาษณ์ของ ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ สร้างความกังวลใจต่อนักลงทุน แม้จะมีข่าวดีการเจรจาขยายเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐประสบความสำเร็จ


นักลงทุนกังวลนโยบายกระทบหุ้น


    ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ออกมาวิเคราะห์สถานการณ์ “ขั้วการเมืองใหม่ ทลายทุนผูกขาด หุ้นไทยไปต่อ หรือพอแค่นี้???” ภายหลัง ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านลงทุนแมน โดยรู้สึกไม่สบายใจต่อนโยบายเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกล ที่พูดถึงภารกิจ 100 วันที่สัญญาไว้กับประชาชน โดยมีเป้าหมายสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำด้วยนโยบาย 3F

   โดยนโยบาย 3F คือ 1. Firm Ground วางรากฐานเศรษฐกิจไทยให้มั่นคง โดยเน้นเพิ่มรายได้เกษตรกรและเอสเอ็มอี มีค่าแรงที่เหมาะสม 2. Fair Game สร้างกติกาและกลไกภาครัฐเพื่อการแข่งขันที่เป็นธรรม เช่น การทลายทุนผูกขาด จะต้องเข้าไปแก้ไขปรับปรุง เช่น ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3. Fast Forward Growth ผลักดันเครื่องจักรเศรษฐกิจตัวใหม่ โดยเฉพาะเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และแปลงข้อมูลให้เป็นขุมทรัพย์

    “ว่าที่รมว.คลังกล่าวว่าที่หุ้นลงเพราะหลังเลือกตั้ง และต่างชาติก็ลง ในความเป็นจริงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นต่างประเทศขึ้นดีมาก และที่ผ่านมาหลังเลือกตั้งหุ้นจะขึ้น ยิ่งการออกมาให้สัมภาษณ์ถึงภารกิจ 100 วัน ของพรรคก้าวไกล ทำให้นักลงทุนไม่สบายใจ

    โดยเฉพาะการเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของ Capital Gain Tax หรือกลุ่มเวลธ์ ที่มีรายได้เกิน 300 ล้านบาท จะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีก เพื่อไปกระจายให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ตามหลักรัฐสวัสดิการ ซึ่งประเทศที่เจริญแล้วอย่างประเทศอังกฤษก็มีปัญหา เพราะทำให้คนไม่ทำงานหวังรอเงินจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียว”

    ประกิต กล่าวว่า หลายประเด็นในนโยบายของพรรคก้าวไกลมีความไม่ชัดเจน เช่น ขึ้นค่าแรง 450 บาท/วัน แล้วไปเพิ่มทักษะแรงงานเพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการย้ายฐานผลิต ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกัน ขณะที่การกระชากค่าแรงขึ้นในระดับนี้ จะทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ผู้ประกอบการมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งสุดท้ายภาระไปตกอยู่ที่ผู้บริโภค ขณะที่ไม่ได้มองว่าตลาดทุนเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโต

    “มองแล้วการลงทุน และภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องเหนื่อย นโยบายการทลายทุนผูกขาด การกระจายรายได้ และลดกำไรส่วนเกินของพรรคก้าวไกล ล้วนแต่ทำให้การแข่งขันในการดำเนินธุรกิจยากขึ้น รวมถึงต้นทุนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น จะทำให้บริษัทเติบโตช้าลง ซึ่งอาจทำให้บริษัทลดการลงทุน” ประกิตกล่าว

    สำหรับแนวโน้มการขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ คาดว่ายังมีการขายได้อีก หลังจากต้นปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไปแล้วเกือบ 1 แสนล้านบาท หากดูจากปีที่แล้วนักลงทุนต่างชาติมีการซื้อสุทธิ 2 แสนล้านบาท มองว่ามีแนวโน้มที่จะขายได้อีก หากนโยบายและการจัดตั้งรัฐบาลไม่ชัดเจน เพราะจากนโยบายที่กล่าวมา นักลงทุนต่างชาติมองว่าจะมีผลต่อการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในระยะยาว


แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นค้าปลีก-ธนาคาร


    ประกิต กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ เน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL GLOBAL CRC MAKRO ธุรกิจสินเชื่อ MTC SWAD ซึ่งจะได้ประโยชน์จากนโยบายของพรรคก้าวไกลในการสนับสนุนเกษตรกรและเอสเอ็มอี รวมถึงกลุ่มธนาคาร KABANK SCB BBL ส่วนกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบ เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง งานวางระบบ กลุ่มโรงไฟฟ้า มองว่าการเติบโตในอนาคตลำบาก รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับกัญชา ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ส่วนตลาดหุ้นที่น่าสนใจ เช่น สหรัฐ และเวียดนาม

    เจษฎา ยงพิทยาพงศ์ กรรมการและผู้จัดการ บลน.เวลธ์ คอนเซปท์ กล่าวว่า การลงทุนตลาดหุ้นไทยยังได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ เงินลงทุนจากต่างชาติยังไหลออกอย่างต่อเนื่อง เป็นจังหวะในการทยอยสะสมหุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานดีเข้าพอร์ต

    ด้านตลาดหุ้นในต่างประเทศ ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกายังมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเทรนด์ขาขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ปรับตัวลงค่อนข้างมาก เช่นเดียวกับตลาดหุ้นจีนสามารถทยอยสะสมได้ รวมทั้งตลาดหุ้นเวียดนามที่กลับมามีความน่าสนใจ หลังจากรัฐบาลมีการประกาศนโยบายการลงทุนใหม่ๆ เช่น เรื่องพลังงานสะอาด และมีโอกาสเข้าคำนวณดัชนี MSCI

    ด้านรอยเตอร์ รายงานว่า โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ กับนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในการปรับเพิ่มเพดานหนี้ 31.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ของรัฐบาลกลางสหรัฐ เมื่อวันเสาร์ (27 พ.ค.) เพื่อป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดที่แน่ชัดของข้อตกลงขั้นสุดท้ายได้

    ด้านบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า สัปดาห์นี้ (29 พ.ค.-2 มิ.ย. 2566) ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,520 และ 1,500 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,545 และ1,555 จุด ตามลำดับ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมกนง. (31 พ.ค.) ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองในประเทศ

    ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน และดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพ.ค. ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพ.ค. ของจีน ญี่ปุ่นและยูโรโซน รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ค. (เบื้องต้น) ของยูโรโซน

    สำหรับดัชนีหุ้นไทยเมื่อวันศุกร์ 26 พ.ค. 2566 ปิดที่ระดับ 1,530.84 จุด เพิ่มขึ้น 1.05% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 47,456.70 ล้านบาท ลดลง 15.57% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.75% มาปิดที่ระดับ 484.38 จุด

    สถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 22-26 พ.ค.2566 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 12,189 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 20,824 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 17,664 ล้านบาท และมีตราสารหนี้หมดอายุ 3,160 ล้านบาท)


อ่านเพิ่มเติม: 3 เสน่ห์หุ้น Costco สะกดใจปู่ Charlie Munger ให้หลงรัก


ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine