หลังตลาดหุ้นลุ้นผลประกอบการกลุ่มธนาคารไตรมาสแรก ออกมาดีกว่าที่คาด นำโดยธนาคารกรุงเทพ ของตระกูลโสภณพนิช ที่มีกำไรเพิ่มสูงสุด 42.3% สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย จับตากรณี STARK กระทบผู้ซื้อหุ้นกู้ 9,000 ล้านบาท หลังไม่ส่งงบการเงิน-ผู้บริหารทยอยลาออก
ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีอยู่ที่ 1,558.36 ล้านบาท (21 เมษายน 2566) ลดลงเล็กน้อย จากความกังวลกรณีบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ที่เลื่อนส่งบการเงินเป็นครั้งที่ 3 และมีการแจ้งเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการ (บอร์ด) ทั้งชุด ทำให้ทริสเรทติ้ง ปรับลดอันดับเครดิตของ STARK จากระดับ BBB+ เหลือ BB- ขณะที่มีธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อย่างธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มีการตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้น แต่ผลประกอบการกลุ่มธนาคารยังออกมาดีกว่าที่คาด
ผลประกอบการกลุ่มแบงก์แข็งแกร่ง
สำหรับผลกำไรสุทธิของธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงไตรมาสแรก มีอัตราการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง นำโดยธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ของตระกูลโสภณพนิช ที่มีกำไรสุทธิ 10,129 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือว่ามีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มธนาคาร ขณะที่ธนาคารไทยพาณิชย์ มีกำไรสุทธิสูงสุด 10,995 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 ตามด้วยธนาคารกสิกรไทย ที่มีกำไร 10,741 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ กล่าวว่า ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยถือว่ามีอัตราการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และบางธนาคารมีกำไรสุทธิสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างธนาคารกรุงเทพ และแม้จะมี 2 ธนาคารที่มีการตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้นจากความเสี่ยงของลูกหนี้รายใหญ่ แต่ยังมีอัตรากำไรสุทธิที่แข็งแกร่ง สะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งแนวโน้มหลังจากนี้ ผลประกอบการของภาคธุรกิจต่าง ๆ จะทยอยปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว เช่น สนามบิน โรงแรม ร้านอาหาร และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง เช่น กลุ่มค้าปลีก เป็นต้น เชื่อว่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยขึ้นมาแตะระดับ 1,600 จุดได้
“คาดว่าหลังจากนี้ แนวโน้มตลาดหุ้นไทย จะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น และสามารถกลับไปอยู่ที่ระดับ 1,600 จุดได้ ส่วนกรณีที่ 2 ธนาคารใหญ่ มีการตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้นจากกรณีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ารายใหญ่ แต่กำไรสุทธิที่ออกมาสะท้อนได้ว่าเอาอยู่ ซึ่งกรณีเช่นนี้ เป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ จากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 500 – 600 บริษัท จึงไม่น่ากังวล”
สำหรับแนวโน้มหุ้นไทยหลังจากนี้ คงต้องรอลุ้นหลังการเลือกตั้งว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่ก็เป็นโอกาสของหุ้นหลายกลุ่มที่จะได้อานิสงส์จากนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองทั้งภาคเกษตร ค้าปลีก และการท่องเที่ยว ส่วนกรณีของ STARK ต้องจับตาผลกระทบกับผู้ถือหุ้นกู้ 4,500 ราย จากการขายหุ้นกู้ 5 รุ่น รวมกว่า 9,000 ล้านบาท
จับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ
ที่ต้องจับตาทิศทางการลงทุนในสัปดาห์นี้ คือตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในหลายธุรกิจที่จะทยอยประกาศออกมา รวมถึงการประกาศตัวเลขอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ประกาศในสัปดาห์ที่แล้วมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 4.5 ถือว่าดีกว่าที่คาด และประเมินว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญ รวมถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาประเทศไทยมากขึ้น ส่งผลดีต่อประเทศไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่ามีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติและสกุลเงินในเอเชีย ผลการประชุมนโยบายการเงินและธนาคารกลางญี่ปุ่น รวมถึงตัวเลขการส่งออกและรายงานเศรษฐกิจและการเงินของไทยในเดือนมีนาคมของธนาคารแห่งประเทศไทย
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจในสหรัฐ จะมีการประกาศดัชนีความเชื่อมั่นและคาดการณ์เงินเฟ้อ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย ซึ่งชะลอตัวอย่างมีนัยยะสำคัญ รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาสแรกของสหรัฐและยุโรป
อ่านเพิ่มเติม: จับตา “หุ้น STARK” หลังบอร์ดออกยกทีม เลื่อนส่งงบการเงินหลายรอบ
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine