ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (12 – 16 มิ.ย. 2566) มีหลายปัจจัยเสี่ยงให้ต้องติดตาม แม้สัปดาห์ที่ผ่านมาจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย ทั้งกรณี STARK และสถานการณ์การเมืองยังเป็นปัจจัยกดดันในประเทศ หลังกกต.มีมติรับไต่ส่วนกรณี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผิดมาตรา 151 “รู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิ แต่ลงเลือกตั้ง” หอการค้าไทยประเมินม็อบลงถนนกดจีดีพีไทยเหลือโต 2.5% เอกชนหวั่นเอลนีโญสูญ 3.6 หมื่นล้าน ด้านปัจจัยต่างประเทศล้นผลประชุมเฟดขึ้นดอกเบี้ย
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันศุกร์ 9 มิ.ย. 2566 ปิดที่ระดับ 1,555.11 จุดเพิ่มขึ้น 1.56% จากสัปดาห์ก่อน โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 50,183.70 ล้านบาท ลดลง 5.61% จากสัปดาห์ก่อน สำหรับสัปดาห์นี้ (12 – 16 มิ.ย. 2566) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยมองว่าดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,530 และ 1,515 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,560 และ 1,575 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมเฟด (13-14 มิ.ย.) ทิศทางเงินทุนต่างชาติและสถานการณ์การเมืองในประเทศ
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เร่งจัดการกรณี STARK
กรณีบริษัท สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น (STARK) จำกัด (มหาชน) เลื่อนส่งงบการเงินปี 2565 ตลาดหลักทรัพย์ฯตรวจสอบพบความผิดปกติทางบัญชี รวมถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการชำระหนี้หุ้นกู้รวมมูลค่าเกือบ 1 หมื่นล้านบาทนั้น
วันจันทร์ที่ 12 มิ.ย.นี้ นักลงทุนที่ได้รับความเสียหายเตรียมรวมตัวกันยื่นจดหมายถึงคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้เร่งดำเนินการกับบริษัท และสภาองค์กรผู้บริโภคเรียกร้องให้ก.ล.ต.ตรวจสอบและเยียวยาผู้ถือหุ้นกู้ STARK ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เร่งให้บริษัทชี้แจงงบภายในวันที่ 13 มิ.ย. และเตรียมประสานการดำเนินงานไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กองบังคับการปรามปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
ด้านสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (บลจ.) รอดูงบการเงิน STARK ที่จะแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ หากพบว่ามีการตกแต่งบัญชีเตรียมดำเนินการตามกฎหมายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุน
นอกจากนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ STARK ได้มีมติเรียกให้หุ้นกู้ของบริษัทถึงกำหนดชำระโดยพลัน (call default) จำนวน 2 รุ่น มูลค่ารวม 2,241 ล้านบาท ได้แก่
1. หุ้นกู้บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2564 ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2566 (STARK239A) มูลค่าคงค้าง 1,291.50 ล้านบาท โดยมี ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้
2. หุ้นกู้บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2564 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 (STARK249A) มูลค่าคงค้าง 949.50 ล้านบาท โดยมี ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้
การมีมติเรียกให้หุ้นกู้ทั้ง 2 รุ่นข้างต้นถึงกำหนดชำระโดยพลัน กรณีนี้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้จะมีการส่งหนังสือแจ้งให้ STARK ชำระหนี้ภายในเวลาที่กำหนด หากไม่สามารถชำระได้ จะทำให้หุ้นกู้อีก 3 รุ่น มูลค่าคงค้างรวม 6,957.40 ล้านบาท เกิดการผิดนัดด้วย (cross default) โดยก.ล.ต. ได้จัดทำศูนย์รวมข้อมูลหุ้นกู้ ไว้บนเว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. www.sec.or.th เพื่อรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับผู้ลงทุน พร้อมทั้งกำชับไปยังผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ของ STARK ทุกรุ่นให้มีการปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามกฎหมายและข้อกำหนดสิทธิอย่างเคร่งครัด และต้องคำนึงถึงประโยชน์ของผู้ถือหุ้นกู้เป็นสำคัญ
หวั่นจัดตั้งรัฐบาลล่มกดจีดีพีเหลือ 2.5%
สถานการณ์การเมืองในประเทศยังคงร้อนแรง หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติให้ไต่ส่วนกรณี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผิดมาตรา 151 “รู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิ แต่ลงเลือกตั้ง” ซึ่งหากพบกระทำผิดจริงต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี
ทั้งนี้ ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ว่าหากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ภายในเดือน ส.ค. และเกิดการประท้วงจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตลดลงอยู่ที่ 2.5 – 3% สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตยังอยู่ในระดับต่ำ จากความไม่มั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจในอนาคต มีความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันและค่าครองชีพที่สูงขึ้น การขึ้นอัตราดอกเบี้ย และภาคการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้มีความกังวลต่อการจ้างงานในอนาคต
อย่างไรก็ตาม มีการประเมินว่าหากพรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และการจัดตั้งรัฐบาลยังอยู่กับพรรคอันดับ 2 คือเพื่อไทย จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยและการตอบรับจากตลาดทุนมากกว่า เนื่องจากมีนโยบายไม่ Aggressive เท่าพรรคก้าวไกล และไม่มีนโยบายแตะมาตรา 112 ทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมคลายความกังวลมากขึ้น เมื่อจัดตั้งรัฐบาลมีความชัดเจนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
จับตาเอลนีโญรุนแรงปีนี้
เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์พยากรณ์สภาพอากาศขององค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐ (NOAA) เปิดเผยว่า ปรากฏการณ์ เอล นีโญ (El Nino) ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วในฝั่งของมหาสมุทรแปซิฟิก และคาดว่าจะค่อย ๆ รุนแรงขึ้นในฤดูหนาวนี้ และอาจทำให้ปี 2567 เป็นปีที่โลกร้อนที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา
ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเป็นห่วงสถานการณ์ภัยแล้งในประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากปราฎการณ์เอลนีโญในปีนี้ โดยคาดว่าอาจสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจไทยถึง 36,000 ล้านบาท โดยเสนอให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน เร่งจัดทำมาตรการรับมือภัยแล้ง ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว และภาครัฐควรบูรณาการแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
อ่านเพิ่มเติม: “ซีมง เดอร์วิลเล่” ปั้น CSA สร้างรายได้จากธุรกิจ Brownfield
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine