ตลาดหุ้นลุ้นโหวต “พิธา” กรณีแย่สุดหลุด 1,450 จุด - Forbes Thailand

ตลาดหุ้นลุ้นโหวต “พิธา” กรณีแย่สุดหลุด 1,450 จุด

    วันนี้ ตลาดหุ้นไทยลุ้นผลโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี หลัง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แคนดิเดตจากพรรคก้าวไกลโดนกกต.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดปมถือหุ้นไอทีวี เอเซียพลัส คาดกรณีแย่สุดยืดเยื้อ ม็อบลงถนน ฉุดดัชนีตลาดหุ้นไทยเหลือ 1,450 จุด แนะถือเงินสดป้องกันความเสี่ยง

    สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ร่วมสมาคมตราสารหนี้ไทย จัดเสวนา “จัดทัพต้อนรับรัฐบาลใหม่ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกผันผวน” โดย เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ให้น้ำหนักกับเรื่องการเมืองในประเทศ 50% และเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดและตลาดไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำให้มูลค่าการซื้อขายหลังเลือกตั้งเบาบาง โดยเดือนมิ.ย. 2566 อยู่ที่ 44,000 ล้านบาท ทำให้ครึ่งปีแรกลดลง 9.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

    “ในช่วงต้นปี เราคาดว่าดัชนีหุ้นไทยปีนี้จะอยู่ที่ 1,730 จุด ผ่านมาครึ่งปีได้ขยับเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 1,610 จุด เพราะมีเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย คือการเมือง ที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลย สูตรจัดตั้งรัฐบาลมีหลายสูตรมาก จนไม่สามารถคาดเดาได้ว่าหน้าตารัฐบาลจะเป็นอย่างไร วันนี้จะโหวตเลือกนายกแล้ว แต่ก็ยังเดาไม่ถูกว่าจะเป็นอย่างไร ถือเป็นประเด็นที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยอย่างมาก”


    อย่างไรก็ตาม บล.เอเซีย พลัส ได้คาดการณ์ปัจจัยทางการเมืองไว้ 3 กรณี 

    กรณีดีที่สุด สามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้อย่างราบรื่น จัดตั้งรัฐบาลได้อย่างมีเสถียรภาพ คาดว่าจะได้เห็นการปรับตัวของตลาดมาอยู่ที่ 1,610 จุด 

    กรณีแย่ที่สุด พลิกขั้วเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย มีการชุมนุมทางการเมือง ปรับลดดัชนีมาอยู่ที่ 1,450 จุด หากเป็นปัจจัยกลางๆ ที่มีการสลับขั้วทางการเมือง แต่ได้เสียงข้างมาก จัดตั้งรัฐบาลได้คาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะอยู่ที่ 1,500-1,542 จุด

    เทิดศักดิ์ กล่าวว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้อ การเมืองไม่จบในสภาผู้แทนราษฎร แต่ขยายมาเป็นการชุมนุมข้างนอก เป็นกังวลว่าจะกระทบการท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้เป็นความหวังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งกังวลว่าจะกระทบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ซึ่งหากชะงัก หรือเลื่อนออกไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม เพราะไม่มีมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตได้


แนะธีมลงทุนรับความเสี่ยงสูง


    สำหรับธีมการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง เทิดศักดิ์ กล่าวว่า เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ยังสามารถรับความเสี่ยงได้ และมีเงินเย็น และต้องเตรียมเงินสดไว้ 15% ของเงินลงทุน เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เน้นการทยอยซื้อ และพยายามเลือกบริษัทที่มีพื้นฐานที่ดี แต่ราคายังมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้ และเลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการบริโภคในประเทศ เช่น กลุ่มค้าปลีก CRC กลุ่มสถาบันการเงิน ติดล้อ (TIDLOR) กลุ่มธนาคาร SCB กลุ่มมีเดีย PLANB และกลุ่มขนส่ง BEM
“รวมถึงการอิงกับหุ้นการเมือง เช่น พอมีข่าวว่ากกต.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญกรณถือหุ้นสื่อของพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล หุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายของพรรคก้าวไกลปรับตัวขึ้น เช่น กัลฟ์ กลุ่มค้าปลีก และแสนสิริ หรือเน้นธีมหลักที่ไม่ว่าพรรคไหนจะมาก็ได้ประโยชน์ อย่างค้าปลีก สถาบันการเงิน มีเดีย เป็นต้น” เทิดศักดิ์ระบุ

    ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า หัวใจสำคัญของการเมืองในประเทศ คือการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีวันที่ 13 ก.ค.นี้ ซึ่งจะมีนัยยะสำคัญทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นต่อไป ซึ่งตามไทม์ไลน์กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลคงต้องใช้เวลาถึงปลายเดือนก.ค. เดือนส.ค.ได้รัฐบาลชุดใหม่ และมีการจัดทำแผนและแถลงนโยบาย ต้องดูว่าใครจะเป็นเบอร์ 1 และเบอร์ 2 ของรัฐบาลผสมชุดนี้

    “หัวใจสำคัญ คือวันนี้ที่จะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ต้องดูว่าใครจะเป็นเบอร์ 1 เบอร์ 2 ของรัฐบาลผสมชุดนี้ และนโยบายก็จะมาจากสองพรรคหลัก สิ่งสำคัญ ไม่ว่าใครจะมา ใครจะไป เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก แต่จะผ่านไปได้ ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาล เศรษฐกิจจะประคองตัวได้ แต่เมื่อเข้ามาแล้ว จะมีความท้าทาย ที่เป็นปัญหาระยะยาว ต้องดูว่ารัฐบาลใหม่จะทำอะไรที่จะมีต่ออนาคตของประเทศมากน้อยแค่ไหน” ดร.กอบศักดิ์กล่าว

สำหรับประเด็นสำคัญ 3 ประการที่เป็นความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า คือ 

    1. การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI เรื่องนี้ยังไม่มีพรรคไหนมีนโยบายที่ชัดเจนออกมา ซึ่งมีนัยยะต่อหุ้นและการลงทุนในอนาคต 

    2. ศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน ทุกวันนี้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้ แต่ไทยไม่ได้เป็นตัวเลือกแรก ทำอย่างไรที่จะดึงเม็ดเงินลงทุนมาที่ประเทศไทย และ 

    3. ความขัดแย้งของโลกที่เกิดขึ้นจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ รัฐบาลใหม่จะวางตัวอย่างไร ซึ่งนโยบายจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของประเทศไทย

    อย่างไรก็ตาม ดร.กอบศักดิ์ คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ 3% โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา 28 ล้านคน ทำอย่างไรที่ภาคธุรกิจจะประคองตัวไปได้ สำหรับนักลงทุนปีนี้ถือเป็นโอกาสในการลงทุนที่ดีที่สุดในรอบหลายปี ดังนั้นอย่าเพิ่งถอดใจ และมองหาโอกาสการลงทุนที่ไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่มองไปนอกประเทศด้วย


    อ่านเพิ่มเติม : SCB CIO มองปัญหาหนี้ LGFV ของจีนเป็นประเด็นต้องจับตา

    ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine