ประเมินภาพเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ จีนเศรษฐกิจยังไม่ฟื้น ดันกระแสฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนทั่วโลกยังอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่อไป แต่ระยะสั้นตามสถิติในเดือนกันยายน มักจะเป็นเดือนที่ตลาดปรับฐานก่อนปรับตัวขึ้นในช่วงสิ้นปี นักลงทุนรุ่นใหม่มองเป็นโอกาส “ทยอยสะสม” หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่และสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิทคอยน์
ณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า จากการติดตามข้อมูลอ้างอิงสถิติตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก พบว่าค่าเฉลี่ยผลตอบแทนการลงทุนในช่วงเดือนกันยายนของทุกปีจะเป็นช่วงที่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา มักจะปรับฐานลงก่อนที่จะปรับตัวขึ้นในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน ซึ่งเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ดังนั้น ในเดือนกันยายนนี้จึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะทยอยเข้าสะสมหุ้นสหรัฐฯ ทั้งตลาด NASDAQ และ S&P500
“การที่เศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้นตัวทำให้ ฟันด์โฟลว์ ในตลาดโลกมีตัวเลือกน้อยที่จะเข้าลงทุน จึงมีความเป็นไปได้สูงว่านักลงทุนทั่วโลกยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่อไป จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย และการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเอไอ”
ตั้งแต่เข้าสู่เดือนกันยายน หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในกลุ่ม Big Tech ต่างปรับตัวลงทั้งหมด แต่ภาพรวมใหญ่ทางเทคนิคจะเป็นขาขึ้น ซึ่งการย่อตัวลงมาในระดับ 10% ถือว่าเป็นจุดที่น่าสนใจในการเข้าลงทุนเพื่อหวังสร้างผลตอบแทนระดับเลขสองหลักในช่วงที่เข้าสู่ไตรมาส 4/2566
ขณะที่การแถลงงบไตรมาส 2/2566 ที่ผ่านมา หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ต่างรายงานผลประกอบการที่เติบโตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรายได้ กำไร หรือ จำนวนผู้ใช้งาน โดยเฉพาะหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเอไอ ทั้ง Nvidia, Microsoft และ Alphabet ต่างมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากเอไอที่จับต้องได้ทั้งหมด
“ถึงแม้ว่าจะมีความกังวลเรื่องฟองสบู่จากเอไอ แต่รายได้ที่เติบโตแบบก้าวกระโดดของ Nvidia ทำให้ P/E ล่วงหน้าลงมาแตะระดับ 30 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับ Microsoft และ Alphabet จึงไม่ถือว่าราคาหุ้นแพงเกินไป แต่ถือว่าสมเหตุสมผล การที่ราคาหุ้นย่อตัวลง จึงมองเป็นโอกาสในการทยอยสะสม”
นอกจากนี้ยังต้องจับตาการเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ หรือ CPI Index ในวันพุธนี้ (13 ก.ย. 66) เพราะอาจนำไปสู่การตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ที่จะประชุมกันในสัปดาห์หน้า โดยข้อมูลจาก FED Watch Tool ล่าสุด คาดว่ามีโอกาส 90% ที่จะคงดอกเบี้ย แต่ถ้าเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ก็มองว่ายังมีโอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งในปีนี้
แต่ถ้าแนวโน้มดอกเบี้ยมีโอกาสปรับลดลงเร็วกว่าที่คาด อาจจะเป็นโอกาสของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดกลางที่จะกลับมา Outperform ได้เช่นกัน เพราะหุ้นในกลุ่มนี้ต้องการแรงขับเคลื่อนของฟันด์โฟลว์มากกว่าผลประกอบการ แต่ช่วงที่ผ่านมางบการเงินของหุ้นในกลุ่มนี้ถือว่ากลับมาอยู่ในระดับปกติก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดแล้ว จึงเป็นโอกาสที่จะลงทุนในระยะยาวได้เช่นกัน
นอกจากนั้น ในเดือนกันยายนยังเป็นโอกาสที่จะลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะบิทคอยน์ แม้ว่าตลาดยังอยู่ในภาวะหมี แต่ค่อนข้างมีความชัดเจนแล้วว่า ก.ล.ต. สหรัฐฯ จะอนุมัติให้สามารถจัดตั้ง Bitcoin ETF ได้ โดยมีสมมุติฐานจากการที่ศาลสหรัฐฯ สั่งให้ ก.ล.ต. สหรัฐฯ ห้ามปฎิเสธการจัดตั้ง ETF ของ Grayscale
การตัดสินของ ก.ล.ต. สหรัฐฯ เกี่ยวกับการจัดตั้ง Bitcoin ETF จะเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะได้รับการอนุมัติในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญทำให้ราคาบิทคอยน์กลับมาเป็นขาขึ้น ประกอบกับตลาดจะเริ่ม Price In กับการเกิด Bitcoin Halving ล่วงหน้า 6 เดือน ซึ่งคาดว่าการเกิด Halving จะมีขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม หรือ เมษายน ปีหน้า ซึ่งสถิติในอดีตราคาบิทคอยน์ จะเป็นขาขึ้นเสมอ โดยสามารถสะสมบิทคอยน์ได้ในระดับตั้งแต่ 23,000 - 25,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และสามารถถือลงทุนยาวได้ตั้งแต่หนึ่งปีเป็นต้นไป
“คาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยัง Outperform กว่าตลาดหุ้นอื่นของโลก ได้ต่อเนื่องจนถึงไตรมาสแรกปีหน้า เมื่อเทียบกับแนวโน้มทางเทคนิคของตลาดหุ้นจีนยังไม่ฟื้นตัว สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่เน้นมูลค่าอาจจะทยอยสะสมหุ้นจีนได้ แต่สำหรับสายโมเมนตัมอาจจะยังไม่ถึงเวลา จนกว่ารัฐบาลจีนจะมีนโยบายอัดฉีดเศรษฐกิจที่แรงพอจนทำให้ฟันด์โฟลว์แบ่งเงินบางส่วนกลับเข้ามาลงทุน”
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine