‘สุธี อัสววิมล’ หรือพี่โหน่ง แห่ง ‘ออนดีมานด์’ (OnDemand) ชายผู้พลิกผันตัวเองจากจากวิศวกรโรงงานสู่แวดวงกวดวิชา ล่าสุดเปิด 2 โรงเรียนมัธยมแนวใหม่บน MBK สอนเด็กไทยเข้ามหาวิทยาลัยที่ไหนก็ได้ในโลกใบนี้ เตรียมเปิดรับนักเรียนปีการศึกษา 2568 รุ่นแรก 100 คน เผยเตรียมลงทุนซื้อกิจการอีก 3 เดือนข้างหน้า ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
หากถามเด็กๆ มัธยมปลายที่กำลังจะเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย หรือต่างประเทศ ชื่อติวเตอร์ หรือโรงเรียนกวดวิชาที่มักจะถูกนึกถึงอันดับแรกๆ จากเด็กๆ เสมอก็คือ “พี่โหน่ง” หรือ สุธี อัสววิมล แห่งโรงเรียนกวดวิชา “ออนดีมานด์” นั่นเอง
ใครจะคิดว่า จากการรับจ้างสอนหนังสือให้กับเด็กๆ มัธยม สมัยเรียนอยู่คณะวิศวะ จุฬาฯ ช่วงปี 1-2 เพื่อเพียงจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าเทอมให้กับทางบ้าน จบจากจุฬาฯ สุธีมาทำงานเป็นวิศวะโรงงานอยู่ 6 ปี จนอายุ 28 ปี เขาตัดสินใจมาเปิดโรงเรียนกวดวิชาชื่อ “ออนดีมานด์” ในปี 2548 ทิ้งความสงสัยไว้ให้ญาติ เพื่อน พี่น้องหลายคน
“ผมอยากเปลี่ยนโลก อยากสร้างการเปลี่ยนแปลง เพราะเชื่อมั่นว่าความรู้สามารถสร้างคนได้” สุธีบอก
ช่วงเริ่มต้นออนดีมานด์ก็ล้มลุกคลุกคลาน เพราะต้องใช้เวลากว่าตลาดจะเข้าใจการเรียนหนังสือกับคอมพิวเตอร์ แต่พอเข้าใจแล้วทุกอย่างก็ไปได้ดี ทำให้ออนดีมานด์สามารถขยายการเรียนได้ครบทุกวิชา และขยายมาทำธุรกิจที่เติมเต็ม ecosystem ได้แก่ Ignite จนถึง เลิร์นสาธิตพัฒนา ต้นแบบแคมปัสย่านเดียวกับซาฟารีเวิลด์
และวันนี้ สุธี กำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญด้วยการเปิดตัวโรงเรียนมัธยมแนวคิดใหม่อีกถึง 2 โรงเรียน เพื่อหวังปฏิวัติวงการการศึกษาไทย และเติมเต็มการทำธุรกิจของบริษัทภายในแนวคิด “Lifelong Learning Edtech”
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/4H7GmhaApWhb9tSkrssh.jpg)
“Crest School” และ “Mastery School” โรงเรียนนานาชาติระดับมัธยมปลายหลักสูตรออสเตรเลีย และโรงเรียนมัธยมปลายหลักสูตรไทย ได้เปิดขึ้น ณ อาคาร MBK Tower แยกปทุมวัน ภายใต้แนวคิด Modern School และ Career-Based Curriculum ซึ่งทั้งสองโรงเรียนจะทำการสอนในระบบการศึกษายุคใหม่ และชูจุดเด่นการเรียนรู้แบบมีเป้าหมาย เพื่อปูเส้นทางสู่อนาคตในฝันของนักเรียนที่ออกแบบได้เอง ผ่านกิจกรรมและหลักสูตรคุณภาพมาตรฐานระดับสากล
สุธี อัสววิมล ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการบริหาร บริษัท เลิร์น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้าน EdTech ของไทย และเจ้าของสถาบันติวเตอร์ ออนดีมานด์ Ignite และโรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา ฯลฯ เล่าว่า เขาตัดสินใจเดินหน้ายกระดับการศึกษาไทยอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการเปิดตัวโรงเรียนทั้งสองแห่ง ภายหลังจากที่ได้ทำการเปิดโรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา ต้นแบบแคมปัส เพื่อดูข้อดีข้อเสียและข้อจำกัดหลายๆ อย่างมากว่า 5 ปี และการมีโปรแกรมพานักเรียนไปซัมเมอร์แคมป์ในและต่างประเทศ
Crest School เป็นโรงเรียนมัธยมปลายหลักสูตรนานาชาติรูปแบบใหม่ที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลออสเตรเลีย เป็นหลักสูตร Dual Diploma เพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทย ที่ผู้เรียนจะได้รับวุฒิจบการศึกษา 2 ใบจากทั้งประเทศไทยและประเทศออสเตรเลีย เพื่อเพิ่มโอกาสให้ไปศึกษาต่อได้ทั้งในและต่างประเทศ เหตุผลที่เลือกหลักสูตรของประเทศออสเตรเลีย เพราะมีความคล้ายคลึงกับการเรียนของเด็กในประเทศไทยมากกว่าประเทศในแถบยุโรป ซึ่งจะต้องทำงานส่งอาจารย์ในปีท้ายๆ ของการเรียน
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/6Xp8iNH89vDoWD5bR6WW.jpg)
Crest School เปิดสอนระดับชั้น Year 10 – Year 12 (ม.4 – ม.6) ชูการเรียนรู้แบบ Experiential Learning ช่วยปลดล็อกศักยภาพนักเรียนผ่านการลงมือทำจริง พร้อมพัฒนาทักษะที่จำเป็น พร้อมด้วยหลักสูตรที่เน้นเส้นทางอาชีพ (Career-based Curriculum) ช่วยเสริมศักยภาพทางวิชาการและทางทักษะอาชีพให้นักเรียนผ่าน 4 สายการเรียนเฉพาะทาง ได้แก่ แพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ธุรกิจ และสังคมศาสตร์
นอกจากหลักสูตรที่เข้มข้นแล้ว ทางโรงเรียนยังช่วยเตรียมสอบและการเตรียมพอร์ตโฟลิโอเพื่อยื่นเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ โดยมีผู้เชี่ยวชาญอย่าง EduSmith และ Ignite เข้ามาช่วยดูแลน้องๆ ที่ Crest School พร้อมเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยระดับโลก เช่น สิงคโปร์ จีน ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา เป็นต้น เพื่อเพิ่มโอกาสด้านศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศ
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/3oLCjxPReSvjJ3y6zosY.jpg)
ส่วน Mastery School เป็นโรงเรียนมัธยมปลายหลักสูตรไทยยุคใหม่ เปิดสอนในระดับชั้น ม.4 - ม.6 ที่ผสมผสานความเข้มข้นทางวิชาการจาก OnDemand กับ Active Learning เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ค้นพบตัวเอง รวมถึงอาชีพในฝันและศักยภาพเฉพาะด้าน ผ่านประสบการณ์จริงจากโปรแกรมการฝึกงาน การสำรวจอาชีพ และโครงการพิเศษต่างๆ
การเรียนการสอนจะมีการตัดวิชาบางวิชาที่ไม่จำเป็นออก และเพิ่มการเรียนการสอนที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในการเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่ละชั้นปีจะออกแบบการเรียนที่แตกต่างกัน เริ่มจากการค้นหาตัวเองและความถนัดเฉพาะในชั้น ม.4 การปฏิบัติและเรียนรู้จากประสบการณ์จริงในชั้น ม.5 ไปจนถึงการติวเข้มเตรียมพร้อมสอบเข้าคณะในฝันในชั้น ม.6 พร้อมด้วยการสนับสนุนจากธุรกิจการศึกษาในเครือ LEARN Corporation อาทิ OnDemand และ Premier Prep ที่เข้ามาช่วยเสริมทัพความแข็งแกร่งทางวิชาการ มีการติวเข้มข้นเข้ามหาวิทยาลัย ครบจบในโรงเรียน
ทั้ง Crest School และ Mastery School เตรียมเปิดรับนักเรียนในปีการศึกษา 2568 นี้เป็นต้นไป ค่าเทอมของ Crest School อยู่ที่ 350,000 บาทต่อปีการศึกษา ส่วน Mastery School ค่าเทอมอยู่ที่ 200,000 บาท รับนักเรียนรวมกัน 100 คนในปีการศึกษาแรก
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/i75x8HeMcFeXZ5vjsD2q.jpg)
“ทั้ง Crest School และ Mastery School ไม่ใช่โรงเรียนทางเลือก เราไม่ได้กำลังทำเรื่องใหม่ แต่เราต่อยอดจากสิ่งที่เรามีความชำนาญและมีประสบการณ์ใน ecosystem ของวงการการศึกษามาเกือบ 20 ปี ผ่านการศึกษาในบริบทใหม่ ดังนั้น เด็กนักเรียนที่จบจากที่นี่สามารถจะไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ประเทศไหนก็ได้ในโลกนี้” สุธีบอก และว่า เพราะหัวใจสำคัญของโรงเรียนทั้ง 2 แห่ง คือ การตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนยุคใหม่อย่างเข้าใจ ผ่านกิจกรรมเสริมทักษะและหลักสูตรการศึกษามาตรฐานระดับสากลที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนรู้และค้นหาตัวตนได้อย่างมีความสุข โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้แบบลงมือทำ ทำให้ผลลัพธ์ของผู้เรียนจับต้องและวัดผลได้จริง
“เราเชื่อว่าการศึกษาต้องไม่ใช่เพียงแค่การท่องจำ แต่คือการเตรียมความพร้อมให้นักเรียนเข้าใจตัวเอง และกล้าที่จะฝันไกล ซึ่งทั้ง Crest School และ Mastery School จะเข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของเด็ก ๆ และช่วยยกระดับมาตรฐานการศึกษาไทยให้ทัดเทียมระดับโลก” โทนี่ คันธาภัสระ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เลิร์น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าว
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/2mVz9T3x6QiPBWU4AKpB.jpg)
ณัชชา พลาพิภัทร ผู้บริหารโรงเรียน กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยทั้ง Crest School และ Master School มีจุดเริ่มต้นด้วย passion ที่อยากปฏิวัติวงการศึกษาไทยให้ดีขึ้นเรื่อยๆ และหลักสูตรพัฒนาตั้งต้นจากความเข้าใจผู้ปกครอง นักเรียน และมหาวิทยาลัย จึงหวังว่า Crest School จะเป็นโรงเรียนนานาชาติอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เด็กสามารถเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยระดับท็อปอย่าง Oxford, Cambridge หรืออื่นๆ ได้
สุธีกล่าวว่า ตลาดรวมโรงเรียนกวดวิชาโดยภาพรวมเติบโตลดลงประมาณ 30% เพราะระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เปลี่ยนไป คือนักเรียนสามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้โดยการยื่นพอร์ต ยื่นผลงาน ความสามารถทางด้านภาษา ผ่านระบบโควต้าของแต่ละมหาวิทยาลัย
“โรงเรียนกวดวิชาคงจะเผชิญความท้าทายต่อไปจากกำลังซื้อระดับรากหญ้าที่ลดลง อัตราเด็กเกิดใหม่น้อย ส่วนโรงเรียนอินเตอร์ tier บน และเด็กที่เรียนโปรแกรม EP หรือภาคอินเตอร์ มีความต้องการกวดวิชามากขึ้น สะท้อนจากการโตของ Ignite ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรายังจะขยายธุรกิจต่อไปในทุกๆ มิติ มีทั้งที่ขยายเอง หรือการซื้อกิจการซึ่งจะปิดดีลได้ในอีก 3 เดือนข้างหน้า เพื่อให้เราเป็น Lifelong Learning EdTech ที่สมบูรณ์แบบทำให้ชีวิตคนดีขึ้น เราพร้อมจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในอนาคตอันใกล้เพื่อระดมทุนขยายธุรกิจเติมเต็ม ecosystem การศึกษาของเลิร์น คอร์ปอเรชั่นในระยาว” สุธีกล่าวทิ้งท้าย
ภาพ: บริษัท เลิร์น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : จุฬาฯ เผยรายงาน The Future of Jobs แนะ AI และ Big Data คือทักษะแห่งอนาคต ที่จำเป็นสำหรับประเทศไทย
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine