ShopeePay หนึ่งใน e-Wallet ที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตามากที่สุด พร้อมเดินหน้านำความสะดวกสบายของเทคโนโลยีสุดล้ำของพวกเขาไปสู่คนไทยทั่วประเทศเพื่อก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างไร้รอยต่อ
ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดที่พรากเราจากความสุขเล็กๆ น้อยๆ อย่างการเดินห้างสรรพสินค้า และไปช็อปปิ้งตามสถานที่ต่างๆ อี-คอมเมิร์ซก็กลายเป็นตัวเลือกที่หลายคนหันไปซบเพื่อสนองความต้องการในการให้ของขวัญแก่ตัวเอง โดยจากข้อมูลที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเผยแพร่ พบว่าปริมาณการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2564 เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน ปี 2536 ถึงร้อยละ 53 โดย ShopeePay เองก็ได้รับผลพลอยได้นี้เช่นกัน เมื่อปี 2015 ก่อนจะรีแบรนด์ กระเป๋าเงินดิจิทัลนี้ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการในนาม บริษัท แอร์เพย์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือเรียกสั้นๆ ติดปากกันว่า AirPay โดยมีเป้าหมายที่จะมอบประสบการณ์อันไร้รอยต่อให้แก่ผู้คนในโลกดิจิทัลมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะอยาก เติมเงินเกม หรือจองตั๋วเครื่องบินก็ตาม และเมื่อเทรนด์อี-คอมเมิร์ซมาแรง พวกเขาก็เล็งเห็นเป้าหมายเพิ่มเติม ต่อมา เมื่อปีที่แล้ว e-Wallet เจ้านี้ก็ได้รีแบรนด์ใหม่เป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลสีส้มที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ "ถ้าเรานำการชำระเงินแบบดิจิทัลที่ไร้รอยต่อที่ทางช้อปปี้เพย์เสนอให้ได้ ไปร่วมมือกันกับทางช้อปปี้ที่กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มันก็จะเป็น Synergy เราส่งมอบคุณค่าและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้กับผู้ใช้งานของเราได้ดีมากยิ่งขึ้น" ศุภวิทย์ หงส์อมรสิน ผู้อำนวยการ ช้อปปี้เพย์ (ประเทศไทย) จำกัด บอกกับ Forbes Thailand ถึงในการรีแบรนด์เพื่อตอกย้ำการเกื้อหนุนกันของทั้งสองแบรนด์ยักษ์แห่งวงการดิจิทัล การร่วมมือกับ Shopee ทำให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายบนแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซนี้เข้าถึงการชำระเงินแบบดิจิทัลได้มากขึ้นก็จริง แต่มีเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้นรอพวกเขาอยู่ "เรามุ่งหวังที่จะนำการชำระเงินดิจิทัลให้กับผู้ใช้งานของเราได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่อาจจะอยู่นอกเขตหัวเมืองต่างๆ ที่อาจจะยังไม่สามารถเข้าถึงการชำระเงินแบบดิจิทัลได้ เราก็มองว่า การร่วมมือนี้จะช่วยให้เราสามารถเอื้อมไปหาพวกเขาได้ และส่งมอบเครื่องมือให้เขาสามารถก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัลได้อย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น" ศุภวิทย์ กล่าวสังคมไทย ไร้เงินสด
ด้วยตลาด e-Wallet ที่เติบโตแบบก้าวกระโดดเนื่องจากผู้บริโภคหันมาสนใจโลกดิจิทัล และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยขึ้น ทำให้การชำระเงินดิจิทัลทั้งสะดวก และปลอดภัยมากกว่าเคย ทำให้ ShopeePay เติบโตได้เยอะ โดยรายได้รวมของทางบริษัทก็พุ่งขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ แต่อีกหนึ่งเป้าหมายที่อยู่ในใจของกระเป๋าเงินดิจิทัลสีส้มนี้คือการนำบริการชำระเงินดิจิทัลให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น สินทรัพย์และรายได้รวมของบริษัทนั้นเป็นข้อพิสูจน์ถึงการเติบโตของอย่างมาก โดยในปี 2561 ที่เริ่มเกิดสถานการณ์โรคระบาดขึ้น สินทรัพย์รวมของทางบริษัทก็กระโดดขึ้นมาเป็น 3,095 ล้านบาท จาก 1.487 พันล้านบาทในปี 2560 ส่วนรายได้รวมก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 1.033 พันล้านบาท จาก 506 ล้านบาทในปี 2560 และในปี 2563 ทางบริษัทก็มีสินทรัพย์รวมถึง 4.821 พันล้านบาท และมีรายได้รวมถึง 2.301 พันล้านบาท ในแง่ของผลประกอบการในระดับภูมิภาคพบว่ามีมูลค่าการใช้จ่ายของ ShopeePay ถึง 4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีจำนวนผู้ใช้งานถึง 32.7 ล้านคนในไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2564 และเช่นเดียวกับตัวเลขในประเทศไทยที่ทะยานขึ้นเรื่อยๆ ในไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2564 ก็พบว่า มีมูลค่าการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 4.6 พันล้านเหรียญ และผู้ใช้งานเพิ่มเป็น 39.3 ล้านคน โดย ศุภวิทย์ กล่าวว่า "ตั้งแต่ดำเนินการมา เราก็เห็นว่าผู้บริโภคในไทยส่วนมาก โดยเฉพาะนอกเขตหัวเมือง เขายังมีความลำบากในการเข้าถึงตัวบริการชำระเงินดิจิทัล หรือบริการดิจิทัลอื่นๆ ได้มากอยู่ ซึ่งทางช้อปปี้เพย์เองก็ยึดสิ่งนี้เป็นเป้าหมายหลักในการดำเนินงานของเรามาก่อนหน้านี้ และมองว่าในปีหน้า เราก็คงต้องการที่จะผลักดันเป้าหมายนี้ต่อไป"ซึ่งนอกหัวเมืองเป็นตลาดที่หลายๆ ภาคกำลังพยายามผลักให้พวกเขาสามารถก้าวเข้าโลกดิจิทัลได้ง่ายขึ้น "ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือว่าผู้เล่น e-Wallet อื่น หรือว่าช้อปปี้เพย์เอง เราก็ร่วมมือกันเพื่อให้เขาก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดได้มากขึ้น"
ศุภวิทย์ก็ได้มีกลยุทธ์ที่จะนำความสะดวกสบายนี้สู่คนไทยทั่วประเทศมากขึ้นโดยการนำเสนอโปรโมชั่นจูงใจ "ฝั่งเราที่คิดว่าใกล้ตัวสุด คงเป็นว่าลูกค้าของช้อปปี้ เราให้เขาเห็นในด้านของสิทธิพิเศษหรือประโยชน์ก่อน ถ้าเกิดเขาไม่ลองใช้ เขาก็ไม่รู้ แต่ก่อนที่เขาใช้ อาจจะต้องมีโปรโมชั่นหรืออะไรเป็นครั้งแรกให้เขาเห็นแล้วน่าสนใจ เปิดใช้ดู แต่พอใช้เสร็จแล้ว ในด้านความสะดวกสบายและความปลอดภัย มันจะทำให้เขาติดและกลับมาใช้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะมีโปรโมชั่นหรือไม่ก็ตาม" เขากล่าว
ด้วยโปรโมชั่นเหล่านั้น โดยเฉพาะโปรโมชั่นแบบ D-Day ทั้งหลาย เช่น 11.11 ในวันที่ 11 เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็พบว่า การใช้งานบริเวณนอกเขตหัวเมืองโตขึ้นถึง 9 เท่าเมื่อเทียบกับวันปกติ และช่วยผลักให้กระเป๋าเงินดิจิทัลนี้มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องปลอดภัย ไร้กังวล สำหรับทุกคน
ความสะดวกสบายของกระเป๋าเงินดิจิทัลเป็นอะไรที่ดึงดูดใครหลายคน การออกไปไหนมาไหนกับโทรศัพท์แค่เครื่องเดียว ไม่ต้องพกกระเป๋าเงินให้พะวงกลัวหายอยู่ตลอดเวลา ทำให้ชีวิตในยามที่อะไรๆ ก็ไม่ปกติเท่าไรนักง่ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผู้ใช้งาน ShopeePay สามารถเติมเงินในกระเป๋าดิจิทัลนี้ผ่านธนาคาร และแอปของธนาคารได้ง่ายๆ และนำเงินในกระเป๋าดิจิทัลดังกล่าวไปชำระเงินตามใจต้องการได้เพียงกดไม่กี่ปุ่ม "ลูกค้าชำระเงินดูเรียบง่าย แต่หลังบ้าน เราทำหลายอย่างมาก เพื่อให้มั่นใจว่าประสบการณ์ในการชำระเงินของลูกค้าจะไร้รอยต่อ และราบรื่นอย่างที่สุด" ในด้านของความปลอดภัยนั้น แน่นอนว่า ทาง ShopeePay ทำตามกฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ดังนั้นผู้ใช้งานสามารถมั่นใจได้ว่า เงินของพวกเขาได้รับการคุ้มกันอย่างดีโดยมืออาชีพ อีกทั้ง ระบบต่างๆ ของทางบริษัทยังมีทีมงานจำนวนมากคอยตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยอยู่ตลอดเวลา ล่าสุด ก็ได้มีการนำเทคโนโลยี Liveness Check มาใช้ในขั้นตอนการยืนยันตัวตน ซึ่งเป็นการยืนยันผ่านการสแกนหน้าง่ายๆ ให้ไม่ยุ่งยากสำหรับลูกค้า และทำให้ลูกค้าอยากสมัครมากขึ้น เพื่อมาจำกัดความยุ่งยากที่เคยเป็นปัญหาหลักมาก่อน และยังได้นำเทคโนโลยี OCR ที่สามารถดูดข้อมูลจากบัตรเพื่อไปตรวจสอบกับกรมการปกครองอย่างถูกต้องอีกด้วย โดยเทคโนโลยีเหล่านี้ก็ได้รับการอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว อีกทั้งยังมุ่งหน้าสร้างฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นบิลกว่า 200 รายการ หรือฟีเจอร์การจ่ายค่าเทอม หรืออะไรก็ตามที่ลูกค้าเรียกร้องมา และยังมีฟีเจอร์ ShopeePay Near Me ยังเป็นตัวช่วยผลักผู้ใช้งานจากโลกออนไลน์ไปสู่ร้านค้าออฟไลน์ได้มากขึ้นอีกด้วย นอกจากฟีเจอร์ที่มีมาใหม่ไม่หยุดแล้ว ยังมุ่งหน้าจับมือกับแบรนด์ใหญ่จำนวนมาก เพื่อมุ่งพาคนไทยก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัลทุกระเบียบนิ้ว ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกับธุรกิจปั๊มน้ำมันอย่าง Caltex จนไปถึงธุรกิจซักแห้งอย่าง Otteri เป็นต้น เพื่อสร้าง ecosystem ที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นอีกด้วย ShopeePay พร้อมที่จะเติบโตต่อไปเรื่อยๆ เคียงข้างคนไทยผ่านการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด และภารกิจที่จะจูงมือคนไทย โดยเฉพาะบริเวณนอกหัวเมืองในการก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัลซึ่งเกิดเร็วขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 "ธุรกิจต่างๆ หรือว่าปัจจัยต่างๆ มันเกิดขึ้นใหม่ตลอด" ศุภวิทย์ กล่าว และปิดท้ายว่า "ถ้าเราปรับตัวได้ดี เรารองรับสถานการณ์ได้ดี มันก็ยืดหยุ่น และสามารถดำเนินการต่อได้แบบไม่ติดขัด" อ่านเพิ่มเติม: ส่องอนาคต ตลาดรถยนต์หรู ในไทยกับ SCB EICไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine