Nic Thomas นำทาง Nissan ปลดปล่อยเทคโนโลยี รถยนต์ไฟฟ้า - Forbes Thailand

Nic Thomas นำทาง Nissan ปลดปล่อยเทคโนโลยี รถยนต์ไฟฟ้า

Nic Thomas แห่งค่าย Nissan Moter Corperation ประเทศญี่ปุ่น หนึ่งบุคคลที่ใกล้ชิดกับเครื่องยนต์ไฟฟ้าที่กำลังพาอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าของนิสสันสู่ความเป็นสากลในอนาคตอันใกล้

เป็นโอกาสสำหรับสื่อมวลชนจากประเทศไทยที่ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ กับ Nic Thomas Global Director, Electric Vehicles ที่งาน Nissan Future ที่ฮ่องกง เขาคือผู้ที่ดูแลธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) และการผลักดันยอดการเติบโตของเครื่องยนต์ไฟฟ้าในตลาดนอกประเทศญี่ปุ่น โดย Nic ถึงเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับเครื่องยนต์ไฟฟ้ามากคนหนึ่ง พาค่ายรถยนต์นิสสันเป็นรายแรกที่เปิดตัวเครื่องยนต์ไฟฟ้าเจอร์เนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งใกล้ชิดผู้บริโภคและรักษาสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น รถยนต์ไฟฟ้าเจเนอเรชั่นที่ 2 เปิดในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Leaf ถือเป็นแผนระยะกลางจากการประกาศทิศทางของนิสสัน ภายใต้แผน “M.O.V.E. 2020” ซึ่งในแผนดังกล่าวนิสสันเตรียมส่งรถยนต์ไฟฟ้าขนาดกลางด้วยกันถึง 8 รุ่น “เจเนอเรชั่นที่ 2 มีคนให้ความสนใจค่อนข้างเยอะ ถือเป็นโอกาสที่ดี ถ้าย้อนกลับไปเปรียบเทียบกับเจเนอเรชั่นแรกที่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยี แต่พอเข้าสู่เจเนอเรชั่นที่ 2 ทุกอย่างเริ่มใกล้ตัวกับผู้บริโภคมากขึ้น ทุกคนรู้จักและอยากเข้าหาเทคโนโลยีนี้ ทำให้กลายเป็นเจเนอเรชั่นที่ใหญ่กว่าเจเนอเรชั่นแรก” Nic Thomas กล่าว “สิ่งที่ต่างจากเจเนอเรชั่นแรกคือ “ความเงียบ” และ “ความนิ่ง” ที่ไม่ทำให้เรารู้สึกถึงการกระโชกที่รุนแรง และที่สำคัญคือเรื่องของความแรงจะทำให้คุณได้พบกับประสบการณ์การขับขี่อีกรูปแบบหนึ่ง” Nic กล่าวถึงคีย์สำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีในรถยนต์ไฟฟ้าของนิสสัน คือเป้าหมายในการเข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน มองกันว่าเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าสามารถเติบโตในระยะยาวและสำคัญต่อโลกอนาคตเป็นอย่างมาก การเปิดตัวเจเนอเรชั่นที่ 2 ได้สะท้อนทิศทางและความต้องการเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี “เราเปิดตัว นิสสัน Leaf เทคโนโลยีเจเนอเรชั่นที่ 2 ในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคม ปีที่ 2017 และ ปี 2018 เปิดตลาดที่สหรัฐอเมริกาและตลาดยุโรป เพียง 2 ปียอดขายของเจเนอเรชั่นที่ 2 มียอดขายมากกว่าหนึ่งแสนคัน" “ถ้าพูดถึงยอดขาย ตั้งแต่นิสสันทำตลาดเครื่องยนต์ไฟฟ้าที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2010 จนถึง 2018 เราขายได้กว่าสี่แสนคัน ระหว่างปี 2010 - 2017 เราขายเจนฯ แรกได้ประมาณสามแสนคัน นับเป็น 75 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 25 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นจากเจเนอเรชั่นที่สองจะเห็นได้ว่าในระยะเพียงแค่ปีเดียวการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรือความต้องการในด้านรถยนต์ไฟฟ้ามีจำนวนมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ”  

ภาครัฐหนุนส่งทำตลาดรถไฟฟ้าโต

Nic เผยว่าสิ่งสำคัญที่ส่งให้นิสสันประสบความสำเร็จในหลายๆ ประเทศ อาทิ นอร์เวย์ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส รัฐ California ในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น คือการสนับสนุนจากภาครัฐในเชิงนโยบาย “เวลาเราพูดถึงการสนับสนุนของภาครัฐ อยากให้ลองสังเกตว่าตลาดที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้เน้นหนักหรือให้ความสำคัญแค่ในเรื่องของส่วนลด ส่วนลดที่ว่าไม่ได้หมายถึงเรื่องการลดราคารถยนต์ลง แต่หมายถึงว่าการที่ผู้บริโภคเป็นเจ้าของเทคโนโลยีนี้จะทำให้เขาประหยัดได้อย่างไร อาทิ ในเรื่องของที่จอดรถ เพราะต่างประเทศที่จอดรถราคาแพงแต่ถ้าคุณใช้รถอีวี คุณจะจอดได้ฟรี หรือในเรื่องของโซนพิเศษที่จะมีแค่รถพวกนี้เท่านั้นที่เข้าไปได้ เรียกว่าเป็นการแบ่งแยกให้เห็นชัดเจนระหว่างกลุ่มที่ดูแลสิ่งแวดล้อม กับอีกกลุ่มธรรมดา ซึ่งมันจะผลักดันให้เกิดการใช้รถประเภทนี้มากยิ่งขึ้น” "สำหรับประเทศไทยเวลานี้ เราพูดเรื่องสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะเพื่อตอบโจทย์คนที่จะเข้าใกล้เทคโนโลยีซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในเมืองเป็นหลัก เราเองก็กำลังขยับขยายหาทำเลโดยร่วมกันพัฒนากับภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการทำให้ในตึกมีที่จอดรถที่สามารถชาร์จได้ เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของคนกรุงเทพฯ เป็นแบบนี้มากขึ้น ซึ่งการพัฒนาแบบนี้ก็จะทำให้คนเมืองอุ่นใจมากขึ้นที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้า" “หลายคนที่จะหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากังวลเรื่องการชาร์จไฟว่าเวลาขับไปต่างจังหวัดระยะทางไกลๆ จะไม่มีที่ชาร์จ แต่การใช้งานจริงๆ ของคนที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าเหมือนการใช้โทรศัพท์มือถือ คือจะชาร์จเมื่อกลับมาถึงบ้าน กลับถึงบ้านจอดไว้ก็เสียบปลั้กชาร์จ ตอนเช้าก็กลับมาใช้อีก อายุการใช้งานของแบตเตอรี่เองหลายร้อยกิโลเมตร ดังนั้นถ้าเขาชาร์จทุกวันแบตเตอรี่ก็จะต่อเนื่อง แต่ในบางคนที่อยากให้แบตเตอรี่เต็มตลอดเวลา เราก็เข้าใจ แต่มันไม่ใช่พฤติกรรมปกติที่คนใช้กัน แต่เราก็เข้าใจในจุดนี้ ดังนั้นถ้าจุดชาร์จเพิ่มขึ้น การตัดสินใจซื้อรถอีวีก็จะมากขึ้นตามไปด้วย”  

สู่เส้นทางตลาดสินค้าแมสโปรดักส์

ปัจจุบัน นิสสัน เป็นเพียงแบรนด์เดียวที่เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าเจเนอเรชั่นที่ 2 เมื่อเทียบกับรถทั้งหมดในตลาด ซึ่ง Nic กล่าวว่า นี่คือความแตกต่างจากคู่แข่งที่เห็นได้ชัด “ถ้าเกิดเราดูในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าตอนนี้ นิสสันขายเจเนอเรชั่นที่ 2 แล้ว ขณะที่ค่ายอื่นยังคงพูดถึงเรื่องของการพัฒนาและย้ำอยู่กับเรื่องที่จะเอาเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาสู่ตลาด ส่วนเราเข้าสู่ระดับขั้นที่กำลังชื่นชมกับยอดขาย เราไปถึงขั้นสร้างประสบการณ์ในการขับขี่ เข้าไปทำให้การขับขี่มีสีสันและสนุกกว่าเดิม ซึ่งแตกต่างจากเจเนอเรชั่นที่หนึ่งอย่างชัดเจน”

ค่าของเทคโนโลยี

เป็นที่รู้กันแล้วว่า ราคาเปิดตัวของ นิสสัน Leaf ในไทยราคาสูงกว่ารถยนต์พรีเมี่ยมหลายๆ ค่าย Nic ได้ให้เหตุผลโดยเปรียบเทียบราคาและเทคโนโลยีที่ได้รับกับรถยนต์ทั่วไปไว้ว่า “เราไม่ได้ขายแค่เรื่องของรถ แต่เราเน้นหนักในเรื่องของเทคโนโลยี ทั้งในตัวรถและตัวแท่นชาร์จ ซึ่งจะต่างจากการขายเครื่องยนต์ทั่วไปที่จะต้องซื้อรถมาและจ่ายค่าน้ำมัน ตรงนี้คนก็ไม่ได้มองว่ามันคือส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการซื้อรถ อีกประการที่ชัดเจนคือค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาต่ำ เพราะมันมีแค่แบตเตอรี่กับตัวรถ ไม่มีในส่วนของเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นกำไรกลับคืนมาจากที่ลูกค้าจ่ายไป” "เมื่อเปรียบเทียบการใช้รถยนต์ปัจจุบัน มันอาจจะมีอายุการใช้งานโดยประมาณที่ 10-15 ปี จากนั้นก็ต้องขายซากเป็นรถเก่า ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้า โครงรถอยู่ได้ 10-15 ปีเหมือนกัน แต่ตัวแบตเตอรี่ยังคงมีคุณค่าของมันอยู่ อนาคตนิสสันวางแผนจะซื้อแบตเตอรี่ตัวนี้กลับคืนมาเพื่อเอาไปไว้ในที่ที่ต้องมีการใช้แบตเตอรี่อยู่อย่างต่อเนื่อง หรือต่อยอดไปใส่ในธุรกิจอื่นๆ เป็นช่วงที่กำลังวางแผน" “นิสสันภูมิใจอย่างมากในเรื่องของแบตเตอรี่ เรารับประกันแบตเตอรี่เสื่อมถึง 8 ปี หรือหนึ่งแสนหกหมื่นกิโลเมตร ส่วนการเอาแบตเตอรี่ใช้ซ้ำ (reuse) เป็นสิ่งที่ยากเพราะตั้งแต่ขายมา 8-9 ปี เรายังไม่ได้รับการเคลมแบตเตอรี่เก่ากลับมาเลย ทำให้เราไม่มีแบตเตอรี่ในการกลับไปใช้ซ้ำแต่มันก็คือภารกิจของนิสสันที่อยากได้กลับมาเพื่อจะนำมาดูว่าจะทำอะไรต่อได้บ้าง” Nic กล่าวและเสริมว่า “นิสสันมีวิศวกรที่ผมเชื่อว่าเก่งที่สุดทำงานกับเรา เรามีการเทสต์รถก่อนส่งไปตามตลาดต่างๆ เพื่อให้มั่นใจในเรื่องของแบตเตอรี่ ความปลอดภัย และความทนทาน การทดสอบ เช่น ขับผ่านน้ำ การชาร์จกลางแดด กลางฝนทั้งหนักและเบา เรียกว่าครบทุกสภาพอากาศ ซึ่งผลจากการทดสอบและจากการขายจริง ยังไม่เคยมีแบตเตอรี่เคลมกลับมา และไม่เคยเกิดเหตุว่าแบตเตอรี่ระเบิดหรือไฟรั่ว ตั้งแต่ออกวางขาย” สิ่งสำคัญที่เรากำลังพัฒนาต่อไปคือเรื่อง Cloud of energy โดยมีรถยนต์เป็นศูนย์กลางของการเก็บเทคโนโลยี ในยุโรปจะมีแสงหรือไม่มีแสง รถยนต์กำลังกลายเป็นแหล่งเก็บและจ่ายพลังงานเคลื่อนที่ได้ในตัว เอาไปใช้ในบ้าน หรือเอาไปขายต่อก็ย่อมได้ นี่คืออีกมุมมองในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้เกิดกลับมาสู่คนใช้งานจริง Nic ทิ้งท้ายว่า จากประสบการณ์ 3 ปีที่ทำงานกับนิสสัน การจะทำให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า ต้องเป็นการทำงานร่วมกันสามส่วน คือจากภาครัฐ ในระดับเมือง ระดับรัฐ อีกส่วนคือกลุ่มคนที่เป็นตัวแทนขายที่ทำงานเกี่ยวกับพลังงาน อย่างมลรัฐ California ชัดเจนเลยว่าเน้นเรื่องของศูนย์เปอร์เซ็นต์ของเสีย ทำให้ตลาดกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าค่อนข้างบูมมาก “ปัจจุบันกลุ่มนิสสันขายอยู่ 5.6 ล้านคันในตลาดทั่วโลก สิ่งที่เราจะนำเสนอความเท่าเทียมในการใช้เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้ากับรถยนต์ทุกรุ่นที่เราผลิต เรามีเทคโนโลยีที่ดีอยู่ในมือ และตอนนี้เราอยากจะปลดปล่อยเทคโนโลยีไฟฟ้าที่อยู่เฉพาะกลุ่มให้เข้าไปอยู่ในทุกกลุ่มที่เรามีให้กับคนรักนิสสันได้เรียนรู้ต่อไป”