ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันบริษัทรถยนต์รายใหญ่และรายเล็กต่างมุ่งพัฒนายนตรกรรมแห่งอนาคตกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะด้วยความต้องการแก้ปัญหาพลังงานเพื่อหันมาใช้พลังงานทดแทน หรือการพัฒนาเพื่อให้สอดรับกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
ค่ายรถยนต์หลายค่ายเริ่มเผยโฉมให้เห็น ยานยนต์แห่งอนาคต ของตัวเอง ขณะที่บางค่ายเริ่มจำหน่ายแล้วด้วยซ้ำ แต่คำถามคือ นวัตกรรมเหล่านี้สอดรับกับทุกมิติของอนาคตแล้วจริงหรือ ลองฟังมุมมองของ Tin Hang Liu ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Open Motors สตาร์ทอัพผู้พัฒนาแพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์แบบเปิด (Open Hardware Platform) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไร้คนขับ จากการบรรยายในหัวข้อ The Future of Mobility : How the Next Generation of EV and Infrastructure Should Be? ในงาน Techsauce Global Summit 2019
Liu เริ่มต้นถึงประเด็นดังกล่าวว่า สิ่งที่น่าสนใจในปัจจุบันนี้ไม่ใช่รถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปอีกต่อไป แต่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV (Electric Vehicle) โดยข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า ในปี 2040 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 35% หรือเพิ่มเป็น 41 ล้านคัน นอกจากนี้ จะมีการนำเทคโนโลยีอื่นๆ เข้ามาใช้ในรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นด้วย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีเสมือน (VR) และการขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Self Driving)
“สาเหตุที่แนวโน้มมาในทิศทางนี้เป็นเพราะรถยนต์ในปัจจุบัน หรือ Actual Car ไม่สามารถโคจรมาเจอกับเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ เป็นเหมือนกับ iPhone ที่ไม่สามารถอัพเกรดหรือเสริมเติมแต่งเทคโนโลยีเข้าไปได้นั่นเอง”
อย่างไรก็ตาม อีกเทรนด์สำคัญที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ คือ Mobility as a Service (MaaS) หรือระบบขนส่งเป็นภาคบริการ และตลาดนี้กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยมีอัตราการเติบโตมากกว่าตลาดรถยนต์ส่วนบุคคลเสียอีก
อนาคตคือโลกแห่ง Car Sharing
ข้อมูลจาก Nielson ที่ได้สำรวจตลาดรถยนต์ในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก โดยพบว่าชาวจีน 38% ใช้รถยนต์บุคคลในการเดินทาง 49% ใช้รถยนต์สาธารณะ และ 13% ใช้บริการ Car Sharing ซึ่งนับว่าสูงทีเดียว แต่ตัวเลขในอนาคตน่าตกใจกว่านี้มาก เพราะคนจีนจะใช้รถยนต์ส่วนบุคคลแค่ 5% ใช้รถสาธารณะ 30% และใช้ Car Sharing ถึง 65%
ความนิยมดังกล่าวทำให้มีการคาดการณ์ว่า ตลาด Car Sharing จะใหญ่จนมีมูลค่า 7 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2050 ซึ่งดึงดูดให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายเข้ามาในตลาดนี้ แม้แต่ Tesla ที่เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาเพิ่งเปิดตัวโครงการ Robotaxi หรือโครงข่าย sharing ที่ใช้รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งวางแผนให้บริการจริงปีหน้า
Liu ให้ข้อมูลอีกว่า ปัจจุบันโลกเรามีรถยนต์ 1.4 พันล้านคัน และยังมีการผลิตรถยนต์เพิ่มปีละกว่า 100 ล้านคัน ส่วนรถยนต์ที่เสื่อมสภาพและต้องกลายเป็นขยะนั้นมีปีละ 27 ล้านคัน ปัญหาคือ รถยนต์ส่วนบุคคลนั้นไม่ได้ถูกออกแบบให้ใช้งานอย่างหนัก แต่ถูกออกแบบให้ใช้งาน 2 ชั่วโมงต่อวัน ทำให้มีอายุการใช้งานถึง 10 ปี ลองนึกดูว่าการเอารถส่วนบุคคลไปใช้ในระบบแชริ่งอย่าง Uber ที่ในแต่ละวันใช้เวลาวิ่งบนท้องถนนมากกว่ารถส่วนบุคคลหลายเท่าตัว จึงส่งผลให้อายุการใช้งานของรถลดลงเหลือราว 2 ปี หรืออาจไม่ถึง 2 ปีด้วยซ้ำ
“และจากแนวโน้มที่ว่าผู้คนจะใช้ Car Sharing เพิ่มมากขึ้น จึงส่งผลให้เกิดขยะรถยนต์เพิ่มขึ้นนั่นเอง ดังนั้น Open Motors จึงคิดถึงวิธีที่แตกต่างในการออกแบบและผลิตรถยนต์รีไซเคิล”
Fast Charge ดีจริงหรือ?
Liu กล่าวอีกว่า การผลิต ยานยนต์แห่งอนาคต ของผู้ผลิตในปัจจุบันต่างมุ่งไปที่การประหยัดพลังงานด้วยการใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานไฟฟ้า แต่หากลองพิจารณาให้ดีจะพบว่า ผู้โดยสารที่ใช้บริการ Car Sharing อย่าง Uber ไม่ได้สนใจว่าจะได้นั่งรถอะไร ใช้เชื้อเพลิงแบบไหน แต่สนใจเพียงแค่การเดินทางจากต้นทางไปยังปลายทางเท่านั้น
“ดังนั้น รถยนต์ในอนาคตจึงควรเป็นรถยนต์ที่สามารถรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ รวมถึงสามารถปรับเปลี่ยนใช้ชิ้นส่วนทดแทนได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เพียงรถเท่านั้นที่ต้องดีขึ้น แต่เรื่องของการชาร์จจะต้องดีขึ้นกว่า Fast Charge ด้วย เพราะระบบ Fast Charge ในปัจจุบันนั้นไม่ได้เร็วดังชื่อ เพราะต้องใช้เวลาในการชาร์จพลังงานถึง 60 นาที นอกจากนี้ยังทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลงด้วย"
แนวคิดหนึ่งของการไม่ใช้ Fast Charge คือการทำ Battery Swap ของ Tesla ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแบตเตอรี่ทุกครั้งเมื่อพลังงานหมด โดยใช้เวลาในการเปลี่ยนแบตเตอรี่เพียง 90 วินาทีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่ปัจจุบัน Tesla ไม่ใช้เทคโนโลยีนี้ เหลือเพียงผู้เล่นบางรายในจีนเท่านั้นที่ยังใช้เทคโนโลยีนี้อยู่ แต่นั่นก็มีค่าใช้จ่ายสูงมาก เพราะการเปลี่ยนแบตเตอรี่แต่ละครั้งมีราคาหลายล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว
Liu สะท้อนอีกว่า ปัญหาอีกอย่าง คือ ปัจจุบันผู้พัฒนารถยนต์หลายรายลงทุนอย่างมากในการพยายามผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับรถยนต์ สิ่งที่ต้องตระหนักคือ ต้องไม่ลืมว่าประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ขนาดใหญ่ คงไม่ยอมให้เทคโนโลยี AI จากสหรัฐเมริกาเข้ามาในประเทศได้แน่นอน เหมือนกับบริการอี-คอมเมิร์ซ และบริการอื่นๆ ที่ต้องมาจากผู้ผลิตจีนเท่านั้น
“สำหรับ Open Motors เรามองว่าส่วนสำคัญที่สุดของรถยนต์ในอนาคต คือ TCO หรือ Total cost of Ownership ซึ่งหมายถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการมีรถ 1 คัน ซึ่งไม่ใช่เพียงราคารถอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงค่าบำรุงรักษา ค่าพลังงานที่ใช้ เวลาที่ใช้ในการชาร์จ การเสื่อมราคา เป็นต้น”
แล้วจะไปสู่จุดนั้นได้อย่างไร?
Liu เผยว่า แนวคิดในการออกแบบและพัฒนารถยนต์ของ Open Motors นั้นคิดถึงเทคโนโลยีเป็นหลัก ผนวกเข้ากับการตอบโจทย์ปัญหาแห่งอนาคตได้ในทุกมิติ อย่างแนวคิดรถยนต์รุ่น EDIT ก็ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้ชิ้นส่วนทดแทนได้ อัพเกรดได้ เปลี่ยนชิ้นส่วนเพื่อปรับขนาดรถให้ใหญ่ขึ้นได้ รองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบ และยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีมากมาย เช่น กล้องพร้อมเซ็นเซอร์ เป็นต้น
“และเนื่องจากแนวคิดของเราเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ทำให้เราออกแบบผังที่นั่งภายในให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ ที่ให้ผู้โดยสารเปลี่ยนพื้นที่ในรถเป็นพื้นที่สำหรับใช้เวลาพักผ่อนกับเพื่อนฝูง หรือชมวิวระหว่างทางได้อย่างเต็มอิ่ม”
สตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้ารายนี้ยังบอกอีกว่า น่าเสียดายที่แนวคิดรถยนต์แห่งอนาคตนี้ยังไม่ได้รับการสนใจจากนักลงทุนมากนัก เนื่องจากเป็นโมเดลที่ใช้ Battery Swap ซึ่งมีราคาสูง ต่างจากค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ ใน TCO ที่น้อยกว่ารถยนต์ส่วนตัวในจุบัน 2-3 เท่า
“ถึงกระนั้น เรายังมองว่า Battery Swap มีข้อดีมากกว่า Fast Charge ที่ต้องใช้เวลาชาร์จนานเกินไป ซึ่งถ้าจะตอบโจทย์รถยนต์ในอนาคตได้ก็ต้องมีจำนวนสถานีมากพอ แต่เรายังหวังว่าจะมีการพัฒนา Battery Swap ให้มีราคาถูกลง”
รายงานโดย : กนกวรรณ มากเมฆ Online Content Creator