ชีวิตใหม่ทางใครทางมัน เริ่มต้นศักราชใหม่ของ Rolls-Royce และ Bentley - Forbes Thailand

ชีวิตใหม่ทางใครทางมัน เริ่มต้นศักราชใหม่ของ Rolls-Royce และ Bentley

FORBES THAILAND / ADMIN
27 Aug 2018 | 06:58 PM
READ 23934

ด้วยโมเดลที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำให้ทั้ง Rolls-Royce และ Bentley ต่างดื่มด่ำความสำเร็จกันเอิกเกริก ทั้งคู่ล้วนเป็นค่ายยานยนต์ชื่อดังแห่งสหราชอาณาจักร ทว่าได้เลือกเส้นทางที่แตกต่างกัน

หากนึกแล้วก็คงจะน่าหลงใหลไม่น้อย ถ้าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์หรูระดับตำนานของสหราชอาณาจักรสักแห่งผ่านช่วงเวลาตกอับอันเป็นที่รับรู้กันทั่ว ก่อนจะได้กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ภายใต้เจ้าของคนใหม่ และยานยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ผสมผสานทั้งความคลาสสิกและโมเดิร์น โดนใจคนรุ่นใหม่รสนิยมสูง พอเกิดขึ้นกับทั้งสองค่ายมันจึงดูแปลกดี นั่นคือ Rolls-Royce Motor Cars กับ Bentley Motors แบรนด์ยานยนต์ชื่อดัง 2 รายที่มีความสัมพันธ์กันอย่างยิ่งใหญ่มานับสิบๆ ปี และทั้งคู่ต่างกำลังลิ้มรสการคืนสังเวียนอย่างสง่างาม แต่ครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้ขึ้นต่อกันอีกต่อไป มีอยู่ช่วงหนึ่งในยุค 1960 ซึ่งเป็นตอนที่ Rolls-Royce เป็นเจ้าของ Bentley มายาวนานเกือบ 70 ปี ทั้งสองแบรนด์ดูเผินๆ แล้วเหมือนกันเปี๊ยบ จะเว้นก็แต่เพียงเครื่องประดับกระโปรงรถที่ต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ทุกวันนี้ Rolls-Royce ซึ่งปัจจุบันมี BMW เป็นเจ้าของกับ Bentley ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจหนึ่งของ Volkswagen AG ได้เลือกที่จะแยกทางกันเดินหน้าสู่ความสำเร็จ
Bentley รุ่น Bentayga รถเอสยูวีรุ่นแรกของแบรนด์ที่เปิดตัวเมื่อปี 2016 และประสบความสำเร็จอย่างสูง (Photo Credit: caranddriver.com)
ทั้งคู่แยกค่ายกันเมื่อปี 1998 ท่ามกลางความวุ่นวายเล็กน้อย ซึ่งก็รวมถึงการแย่งชิงสิทธิควบคุมแบรนด์ Rolls-Royce แต่ตอนนี้สถานการณ์ระหว่างทั้งสองบริษัทดีขึ้นมากแล้ว ในปี 2017 Bentley ขายรถยนต์ทั่วโลกมากเป็นประวัติการณ์ถึง 11,089 คัน อานิสงส์จากความสำเร็จของรถเอสยูวีคันแรก คือ Bentayga ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2016 ในราคา 229,000 เหรียญสหรัฐฯ และได้กลายมาเป็น Bentley รุ่นที่มียอดขายสูงสุด ย้อนกลับไปเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมานี้เองที่ Bentley ยังทำกำไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ในปี 2016 พวกเขามีกำไรจากการดำเนินงาน 135 ล้านเหรียญจากรายรับ 2.4 พันล้านเหรียญ
Rolls-Royce รุ่น Phantom VIII ยานยนต์ที่มุ้งเน้นความงามสง่าหรูหรา (Photo Credit: malaymail.com)
Rolls-Royce ประสบความสำเร็จไม่น้อยเช่นกัน ปี 2014 เป็นปีที่มียอดขายสูงสุดในประวัติศาสตร์กว่า 100 ปีของบริษัท ด้วยยอดขาย 4,063 คัน หลังจากที่ปล่อยเวอร์ชั่น Black Badge ของรถยนต์รุ่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Ghost, Wraith หรือ Dawn ออกมา ดึงดูดผู้ซื้อหน้าใหม่ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตามในปีต่อมายอดขายลดลงเหลือ 3,362 คัน สาเหตุหลักมาจาก Rolls-Royce หยุดการผลิตรถยนต์รุ่นเด่นอย่าง Phantom เป็นการชั่วคราว สิ่งที่ยิ่งบังเอิญเหมือนเข้าไปอีกคือ ในเวลานี้ทั้งคู่กำลังเปิดตัวโฉมใหม่ของรถยนต์ที่เคยนำพวกเขาเข้าสู่ยุครุ่งเรืองเมื่อ 15 ปีก่อน สำหรับ Rolls-Royce นั่นคือ 2018 Phantom VIII ยานยนต์ที่มาพร้อมความงามสง่าสะท้อนถึงความหรูหราเฉพาะตัว ขณะที่ Bentley มี Continental GT โฉมใหม่ ซึ่งเป็นแกรนด์ทัวเรอร์เลอค่า มอบทั้งสมรรถนะและความหรูหราในหนึ่งเดียว ปัจจุบัน อายุเฉลี่ยของผู้ซื้อ Rolls-Royce น้อยลงจนมาอยู่ในวัย 40 ต้นๆ แล้ว (อานิสงส์จากกลุ่มลูกค้าที่อายุน้อยลงในตลาดต่างๆ เช่น จีน) อีกทั้งรถรุ่นใหม่นี้ยังออกแบบมาเพื่อมอบความเพลิดเพลินทั้งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ระบบกันกระเทือนที่เรียกว่า Magic Carpet Ride ช่วยให้ความรู้สึกล่องลอยขณะขับเคลื่อน พร้อมด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบคู่แฝด 12 สูบใหม่ที่ช่วยให้รถสามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลา 5.1 วินาที
ล้อหมุน: Continental GT ของ Bently ที่เน้นการออกแบบเพื่อตอบสนองผู้ขับขี่มากกว่าผู้โดยสาร
ขณะเดียวกัน Continental GT ใหม่ของ Bentley ซึ่งคาดว่าจะมีราคาเริ่มต้นที่ราว 240,000 เหรียญ ออกแบบมาสำหรับผู้ขับขี่ที่หลงใหลในสมรรถนะ แต่ยังปรนเปรอความหรูหราให้แก่ผู้โดยสาร เครื่องยนต์เทอร์โบคู่แฝด 12 สูบขับเคลื่อนยานยนต์ที่ความเร็วสูงสุด 207 ไมล์ต่อชั่วโมง พร้อมเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาเร็วจี๋เพียง 3.6 วินาที มีคำกล่าวไว้ว่า ถึงเวลาก็ต้องเลือก โดยในขณะที่ Bentley วางแผนเร่งการขยายตัวโดยอาศัยจุดแข็งด้านวิศวกรรมของ Volkswagen ซึ่งรวมถึงระบบส่งกำลังด้วยไฟฟ้าด้วยนั้น Rolls-Royce กลับเข้าไปเกี่ยวข้องกับ BMW เพียงเล็กน้อยเท่านั้น Rolls-Royce เลือกที่จะพัฒนาแพลตฟอร์มของตนเอง ซึ่งสามารถขยายต่อไปได้อีก อันจะเป็นรากฐานให้กับ Phantom ตลอดจนรุ่นอื่นๆ ในอนาคต อาทิ Project Cullinan ซึ่งเป็นยานยนต์อเนกประสงค์ขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นแรกที่จะมีกำหนดเปิดตัวในปีนี้ Bentley ตั้งเป้าหมายขยายยอดขายแตะ 20,000 คันต่อปี ขณะที่ Rolls-Royce มุ่งมั่นที่จะรักษาความพิเศษอยู่ที่ต่ำกว่า 6,000 คัน อันที่จริงด้วยราคาส่วนใหญ่ที่มักจะสูงกว่า 400,000 เหรียญทำให้ Rolls-Royce สามารถบอกปัดคำเรียกว่าเป็นแบรนด์ร่วม “ระดับตลาด” ได้อย่างไม่ไยดี แต่ความท้าทายสำคัญที่สุดคือการลบภาพลักษณ์อึมครึมที่ยังคงติดตามาจากโฆษณา Grey Poupon อันโด่งดังมาตั้งแต่ยุค 1980 นั่นเอง ตรงกันข้ามกับ Bentley ที่สามารถครองพื้นที่ตรงกลางระหว่าง Mercedes-Benze รุ่นที่แพงที่สุดกับ Rolls-Royce รุ่นที่ถูกที่สุดได้อย่างไม่เหมือนใคร
(ซ้าย) Wolfgang Dürheimer อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Bentley (ขวา) Torsten MüllerÖtvös ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Rolls-Royce (Photo Credit: fourtitude.com และ telegraph.co.uk)
ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นคือ บริษัทผู้ผลิตยานยนต์ทั้งสองแห่งต่างค้นพบรูปแบบการทำธุรกิจที่ต่างกัน “ถ้าผมได้ขับและต้องเปรียบเทียบรถยนต์ของทั้งสองค่ายนี้ก็คงจะบอกได้ว่ามันไม่เหมือนกัน” Wolfgang Dürheimer อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Bentley ผู้เพิ่งเกษียณอายุมาหมาดๆ กล่าว “ในขณะที่ Rolls-Royce คือความหรูหราเหนือระดับ ส่วนเราคือความหรูคู่สมรรถนะ” Rolls-Royce เองก็ไม่ได้ค้าน “เราทำงานในกลุ่มราคาที่แตกต่างจาก Bentley อย่างสิ้นเชิง” Torsten MüllerÖtvös ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าว แน่นอนว่า ในตลาดเฉพาะกลุ่มของพวกเขาซึ่งมีแต่เจ้าของรถระดับเศรษฐีที่มีรถยนต์กันเฉลี่ย 7 คันนั้น มันไม่ใช่เรื่องราคาหรอก “ลูกค้าของเรามีโรงรถเหมือนกับที่เรามีตู้เสื้อผ้า รถแต่ละคันก็มีไว้ตอบโจทย์ของวาระโอกาสที่ต่างกันนั่นเอง” MüllerÖtvös อธิบาย   เรื่อง: Joann Muller เรียบเรียง: ปาริชาติ ชื่นชม
คลิกอ่านฉบับเต็มของ "ชีวิตใหม่ทางใครทางมัน" ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ พฤษภาคม 2561 ในรูปแบบ e-Magazine