Mitch Daniels ต้องการให้นักศึกษามีโอกาสเรียนมหาวิทยาลัยได้มากขึ้นและให้สถาบันของเขามีนักศึกษาเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นได้ทำให้พวกเคร่งกฎเกณฑ์ในวงการการศึกษาขั้นสูงต้องสะดุ้ง
ขณะที่นั่งรอให้ Mitch Daniels รับสายซึ่งโทรเข้ามาในห้องทำงานของเขาในเมือง West Lafayette รัฐ Indiana คุณจะได้ยินเสียงเพลงที่เล่นโดยวงโยธวาทิตของ Purdue ตามด้วยเสียงประกาศข้อความที่ฟังแล้วเชื่อได้ยากว่า “Purdue จะตรึงค่าเล่าเรียนไว้เท่ากับอัตราในปี 2012 ไปจนถึงปี 2019 สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรีทุกคน” และเมื่อ Daniels อธิการบดีของมหาวิทยาลัยรัฐชั้นนำใน Indiana แห่งนี้รับโทรศัพท์ เขาก็พูดสิ่งที่ชวนตะลึงยิ่งขึ้นไปอีก นั่นคือเมื่อคำนวณอัตราเงินเฟ้อสำหรับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แล้วค่าใช้จ่ายที่ Purdue เก็บจากนักศึกษาต่างรัฐถูกลงกว่าตอนที่เขาเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งเมื่อปี 2013 ถึง 4,000 เหรียญต่อปี ส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับนักศึกษาที่เป็นคนในรัฐก็ถูกลงเกือบ 3,000 เหรียญเมื่อมองย้อนกลับไปในปี 2013 ขณะหมดหวังที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี (แม้เขาจะเป็นผู้ว่าการรัฐอินเดียนาสายกลางที่ได้รับความนิยมจากประชาชนให้พรรคเก่าแก่แห่งนี้มาถึง 2 สมัย) เขาจึงสมัครเป็นอธิการบดีของ Purdue แทน และเริ่มต้นแก้ปัญหาเรื่องการขาดทุนของการศึกษาขั้นสูง เป้าหมายหลักของเขาคือการทำภารกิจของ Purdue ในฐานะมหาวิทยาลัยที่ได้รับที่ดินมาสร้าง (land-grant university) ให้สำเร็จ เพื่อให้สอนวิชาเกษตรกรรมและศิลปะการช่าง (mechanical arts) แก่คนอเมริกันชั้นแรงงาน Daniels ในวัย 69 ปี เชื่อว่า Purdue ยังทำภารกิจนั้นไม่สำเร็จ “ค่าใช้จ่ายอย่างเดียวที่วิ่งแซงค่ารักษาพยาบาลในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมาก็คือค่าลงทะเบียน ค่าหอพัก และค่าอาหาร” ดังนั้นทางแก้ของเขาคือการตรึงค่าใช้จ่ายของนักศึกษาไว้ในระดับเดียวกับปี 2012 เขาแก้ปัญหาเรื่องค่าเล่าเรียนแพงจากมุมมองใหม่ โดยเริ่มนำสัญญาแบ่งส่วนค่าจ้าง (Income-sharing Agreement: ISA) มาใช้ในปี 2016 นักศึกษาที่ใช้เงินกู้จากรัฐบาลหมดแล้วสามารถหาเงินเรียนต่อไปได้ด้วยการทำสัญญาให้มหาวิทยาลัยหักรายได้ส่วนหนึ่งออกจากค่าจ้างในอนาคต ซึ่งปกติจะกำหนดไว้ที่ 3% และ 5% เป็นเวลาสูงสุด 10 ปีหลังจากเรียนจบ (เงินที่จะต้องจ่ายคืนกำหนดเพดานไว้ที่ 2.5 เท่าของเงินต้น) รวมถึงการที่ Daniels จ่ายเงิน 1 เหรียญ (ใช่แล้ว เหรียญเดียว) เพื่อซื้อมหาวิทยาลัยเจ้าปัญหาที่สอนออนไลน์เป็นส่วนใหญ่อย่าง Kaplan University มาจาก Graham Holdings Co. อดีตเจ้าของ Washington Post ในปีที่แล้ว ทำให้ Purdue มียอดนักศึกษาลงทะเบียนพุ่งขึ้นอีก 30,000 คนทันทีเมื่อนับรวมนักศึกษาของ Kaplan ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 30-60 ปีและเป็นคนแรกในครอบครัวที่ได้เรียนมหาวิทยาลัย นักศึกษาเหล่านี้ กำลังเรียนเพื่อให้ได้ปริญญาจากสถาบันที่เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Purdue Global University ทั้งนี้ หลังจากหักค่าดำเนินการของ Purdue และเก็บค่าลงทะเบียน 50 ล้านเหรียญแล้ว Kaplan จะได้รับส่วนแบ่ง12.5% จากรายได้ของ Purdue Global แผนงานของ Daniels ไปได้สวย ยอดผู้สมัครเพิ่มขึ้น 67% ตั้งแต่เขาเป็นอธิการบดี จำนวนนักเรียนลงทะเบียนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เช่นเดียวกับยอดเงินบริจาคจากศิษย์เก่า อัตราการเรียนจบ และจำนวนสตาร์ทอัพที่ก่อตั้งโดยนักวิจัยของ Purdue นอกจากนี้ Purdue ยังติดอันดับ 126 ในลิสต์มหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกาของ Forbes อีกด้วย โดยเลื่อนขึ้นมาจากอันดับ 143 ในปีที่แล้ว ขณะที่สถาบันอื่นกำลังลดคนในตำแหน่งที่มีสิทธิได้เลื่อนเป็นอาจารย์ประจำ แต่ Purdue กลับเพิ่มตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำในสายวิศวกรรมศาสตร์อีก 75 ตำแหน่ง และมีจำนวนนักศึกษาที่จบปริญญาในสาขากลุ่ม STEM (Science, Technology, Engineering, and Math) เพิ่มอีก 33% (มีนักศึกษาที่จัดเป็นคนกลุ่มน้อยเพิ่มขึ้น 50%)คลิกอ่านบทความทรงคุณค่าได้ที่ ForbesLife Thailand ฉบับพิเศษ November 2018