จับตา "เศรษฐกิจดิจิทัลไทย" ทะลุแสนล้านปี 2573 - Forbes Thailand

จับตา "เศรษฐกิจดิจิทัลไทย" ทะลุแสนล้านปี 2573

กูเกิลเปิดเผยรายงาน e-Conomy SEA Report 2022 เศรษฐกิจดิจิทัลไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โตเร็วกว่าคาดในช่วง 3 ปี คาดสิ้นปีนี้แตะ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่แนวโน้มประเทศไทยยังเติบโตต่อเนื่อง คาดภายในปี 2573 มูลค่าทะลุ 1 แสนล้านเหรียญ แต่มีโอกาสถูกเวียดนามแซง


    Google Temasek และ Bain & Company ได้เผยแพร่รายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฉบับที่ 7 (e-Conomy SEA Report - Through the waves, towards a sea of opportunity) รายงานฉบับนี้ระบุว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ “ฝ่าคลื่นความเปลี่ยนแปลง สู่ท้องทะเลแห่งโอกาส” โดยเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคนี้จะมีมูลค่าสินค้ารวม (Gross Merchandise Volume: GMV) สูงถึง 2 แสนล้านเหรียญ ในปี 2565 ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ในรายงานฉบับแรกในปี 2559 ถึง 3 ปี หรือเติบโตขึ้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์ จากปีที่ผ่านมา


    แจ็คกี้ หวาง Country Director Google ประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย คาดว่าเศรษฐกิจดิจิทัลจะมีมูลค่าสินค้ารวมสูงถึง 3.5 หมื่นล้านเหรียญ ในปี 2565 โดยมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่าอยู่ที่ 3 หมื่นล้านเหรียญ ถึงแม้ว่าจะต้องรับมือกับความท้าทายต่างๆ ก็ตาม


    แต่คาดว่าในปี 2568 มูลค่าสินค้ารวมเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจะมีมูลค่า 5.3 หมื่นล้านเหรียญ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี และคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 1-1.65 แสนล้านเหรียญ ในปี 2573


“จากรายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฉบับที่ 7 ในปีนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลทั่วภูมิภาคมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคในช่วงเวลาอันยากลำบากที่ผ่านมา สำหรับประเทศไทยปีนี้การเติบโตจากภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย รวมทั้งตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยยังคงมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากอินโดนีเซีย”


    อย่างไรก็ตาม หากดูอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เวียดนามมีโอกาสแซงหน้าประเทศไทย โดยจากรายงาน พบว่า ในปี 2573 เศรษฐกิจดิจิทัลในเวียดนามจะมีมูลค่าถึง 1.2 แสนล้านเหรียญ


อีคอมเมิร์ซ-บริการทางการเงินหนุนการเติบโต


    จากข้อมูลเชิงลึก พบว่า อีคอมเมิร์ซ เป็นแรงผลักดันที่สำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย คิดเป็นร้อยละ 63 ของมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลโดยรวมในปี 2565 โดยตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย ในขณะที่อัตราการใช้บริการอีคอมเมิร์ซของไทยอยู่ที่ร้อยละ 94 ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาค รองจากสิงคโปร์


    ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยเติบโตขึ้น 8% จากปีก่อน โดยมีมูลค่าสินค้ารวมสูงถึง 2.2 หมื่นล้านเหรียญ ในปี 2565 และคาดว่าจะแตะ 3.2 หมื่นล้านเหรียญ ในปี 2568 จากผลสำรวจ พบว่าร้อบละ 23 ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยตั้งใจจะใช้บริการอีคอมเมิร์ซมากยิ่งขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า


    ขณะที่การขนส่งและบริการส่งอาหารออนไลน์ โดยรวมคาดจะว่ามีมูลค่าสินค้ารวมแตะ 3 พันล้านเหรียญ ในปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากปี 2564 และคาดว่าจะเติบโตขึ้นถึงร้อยละ 20 หรือแตะ 5,000 ล้านเหรียญ ในปี 2568


“ตลาดบริการส่งอาหารออนไลน์กลับสู่แนวโน้มการเติบโตในทิศทางเดิมหลังจากที่มีการเติบโตถึง 3 เท่าในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยคาดว่าจะเติบโต 11% มีมูลค่าสินค้ารวมอยู่ที่ 2.7 พันล้านเหรียญ ในปี 2565 และคาดว่าจะแตะถึง 3.6 พันล้านเหรียญ ในปี 2568 ซึ่งจะทำให้ตลาดบริการส่งอาหารออนไลน์ของไทยใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย” แจ็คกี้กล่าว


    ส่วนภาคการขนส่งคาดว่าจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง และคาดการณ์ว่าจะเติบโตถึงร้อยละ 36 มีมูลค่าสินค้ารวมอยู่ที่ 300 ล้านเหรียญในปี 2565 และพุ่งขึ้นสู่ระดับ 1,600 ล้านเหรียญ ในปี 2568


    แจ็คกี้ กล่าวว่า สื่อออนไลน์ (บริการวิดีโอออนดีมานด์ เพลงออนดีมานด์ เกม) มีการเติบโตที่ชะลอตัวลงจากปีที่ผ่านมาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ สืบเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด-19 โดยในปี 2565 มีการเติบโตร้อยละ 10 และมูลค่าสินค้ารวมอยู่ที่ 5 พันล้านเหรียญ การเติบโตของเพลงออนดีมานด์และวิดีโอออนดีมานด์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ


    ด้านโฆษณาออนไลน์ยังคงรักษาการเติบโตไว้ได้คงเดิม ส่วนเกมออนไลน์พบว่าการใช้บริการลดลงเนื่องจากผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติแล้ว ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าภาคธุรกิจสื่อออนไลน์จะเติบโตร้อยละ 12 หรือคิดเป็นมูลค่า 7 พันล้านเหรียญ ในปี 2568


    ขณะที่การท่องเที่ยวออนไลน์ คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งจากการที่ผู้คนออกเดินทางท่องเที่ยวหรือออกไปทำกิจกรรมต่างๆ นอกบ้านกันมากขึ้น ซึ่งมีระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีการเติบโต 139 เปอร์เซ็นต์ จากปี 2564 คิดเป็นมูลค่าสินค้ารวม 5 พันล้านเหรียญ ในปี 2565


    และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 22 หรือมีมูลค่าสินค้ารวมที่ 9 พันล้านเหรียญ ในปี 2568 การค้นหาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในไทยแตะระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการเดินทางท่องเที่ยวที่ถูกอั้นไว้


“คาดว่าภาคการท่องเที่ยวจะค่อยๆ ฟื้นตัว และใช้เวลาอีกหลายปีในการฟื้นตัวสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิด-19 ในปี 2562 เนื่องจากมีความท้าทายหลายประการ เช่น ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น การขาดแคลนของอุปทาน และมาตรการจำกัดการเดินทางของประเทศจีนที่ยังคงดำเนินต่อไป เป็นต้น ในขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ได้รับผลกระทบจากราคาที่พุ่งสูงขึ้น”


    ด้านบริการด้านการเงินดิจิทัล (Digital Financial Services: DFS) ซึ่งได้แก่ การชำระเงิน การโอนเงินต่างประเทศ การกู้ยืม การลงทุน และประกัน เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักในปี 2565 เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น


    หลังจากที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งการเติบโตของบริการด้านการเงินดิจิทัลจากนี้ไปจนถึงปี 2568 จะถูกขับเคลื่อนโดยการกู้ยืมและการลงทุนซึ่งมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (Compounded Annual Growth Rate: CAGR) ประมาณ 40% และ 45% ตามลำดับ


แนวโน้มลงทุนโตต่อเนื่อง


    นอกจากนี้ มีแนวโน้มการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น โดยมูลค่าการซื้อขายตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปี 2564 จนถึงครึ่งแรกของปี 2565 เพิ่มขึ้น 15% การระดมทุนในภาคเทคโนโลยียังคงแข็งแกร่ง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นแหล่งรวมการลงทุนด้านเทคโนโลยี ถึงแม้ว่านักลงทุนจะระมัดระวังมากขี้นในสภาวะเศรษฐกิจมหภาคในปัจจุบัน


    การลงทุนในบริการด้านการเงินดิจิทัล (Digital Financial Services: DFS) มีสัดส่วนการลงทุนสูงที่สุดในประเทศไทย โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 150 ล้านเหรียญ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 การลงทุนในบริการด้านการเงินดิจิทัลแซงหน้าอีคอมเมิร์ซขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีสัดส่วนเกือบครึ่งของการลงทุนทั้งหมดในไทยเช่นเดียวกับทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


    แจ็คกี้ กล่าวว่า การรักษาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล และเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในประเทศไทย ต้องอาศัยความร่วมมือกันของทั้งภาครัฐ เอกชน ผู้บริโภค เลือกใช้สินค้าและบริการที่ลดผลกระทบต่อสิงแวดล้อม รวมถึงการลงทุนที่สนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลในภาคส่วนอื่นๆ เช่น ในกลุ่ม Health Tech Education Tech Web 3.0 และ SaaS ซอฟต์แวร์บริการ (Software as a service) เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม: จับตาผลกระทบหลังสหรัฐฯ ยกระดับสกัดธุรกิจ Semiconductors จีน


​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine

TAGGED ON