Blockchain กับโอกาสประชาธิปไตยในการเลือกตั้ง - Forbes Thailand

Blockchain กับโอกาสประชาธิปไตยในการเลือกตั้ง

Blockchain ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน อาทิ วงการการศึกษา เกม การสื่อสารโทรคมนาคม สุขภาพ ประกัน และการบริหารจัดการโซ่อุปทาน จึงไม่แปลกนักที่ Blockchainจะถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เอื้อต่อประเทศที่ยังดำเนินการเลือกตั้ง หรือในแง่ของการใช้สิทธิ์ใช้เสียง

ประชาธิปไตยถือเป็นระบอบที่ประสบความสำเร็จมาก โดยประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้ประชาชนในประเทศเหล่านั้นได้ใช้สิทธิของตนรวมไปถึงการแสดงความคิดเห็น หรือแม้แต่การวิพากย์วิจารณ์รัฐบาล เพื่อประโยชน์ของตนที่จะเป็นการตัดสินชีวิตความเป็นอยู่อันผาสุกบนผืนแผ่นดินของตนผ่านการออกเสียง หรือที่เรียกว่าการโหวต โดยประเทศที่มีประชาธิปไตยที่แข็งแกร่งก็คงหนีไม่พ้นประเทศฟินแลนด์และประเทศในตอนเหนือของทวีปยุโรป เช่น ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน เป็นที่รู้กันดีว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นมาจากการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม อันเป็นรากฐานสำคัญของระบบที่ยั่งยืน แน่นอนว่าประชาชนหวังจะมีรัฐบาลหรือกลุ่มตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งที่โปร่งใส หรือเรียกได้ว่ามาจากสิทธิ์และเสียงของประชาชนหมู่มาก ช่างน่าเสียดายที่อุดมการณ์นี้ใช้ไม่ได้ผลเสียทีเดียว เพราะความเชื่อที่ว่าการเลือกตั้งต้องสุจริตและเที่ยงธรรมนั้นถูกบั่นทอนความน่าเชื่อถือโดยอำนาจมืดของอีกด้านที่แอบมีมาช้านานจากความอยากได้ อยากมี และ ความอยากเป็นใหญ่ ของคนกลุ่มหนึ่งที่หวังผลประโยชน์มากกว่า ประชาธิปไตย หลายต่อหลายล้านเสียงที่ถูกใช้ในวันเลือกตั้ง แต่คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่า “เสียง” ของคุณจะมีสิทธิ์ที่ถูกต้องหลังจากถูกหย่อนลงไปในหีบแล้ว คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเสียงของคุณจะถูก “นับ” กับประเทศอย่างโคลัมเบียและไนจีเรียมีการนับคะแนนการเลือกตั้งด้วยมือ ซึ่งผลสำรวจหลายสำนักชี้ว่าวิธีการนี้คือช่องโหว่ของการโกง แต่รัฐบาลเนเธอแลนด์ได้สั่งยกเลิกการนับคะแนนด้วยมือเป็นการนับคะแนนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกซ์แทนในช่วงปลายปี 2560 เพื่อสกัดและหยุดยั้งการโกงทุกรูปแบบ กระนั้นการติดตามคะแนนเสียงที่แท้จริงยังถือว่าเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างยาก และเป็นปัญหาที่แก้ไม่หายในประเทศที่ปกครองด้วยระบบประชาธิปไตย แต่นั่นก็ไม่อาจเป็นอุปสรรคได้อีกต่อไปเมื่อเทคโนโลยี Blockchainเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงวิธีการเลือกตั้ง Blockchainกล่าวง่ายๆ คือบัญชีแยกประเภทดิจิทัลสาธารณะที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลในคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่อง โดยจัดเก็บข้อมูลผ่านเครือข่ายเพียร์ทูเพียร์ หรือเป็นเครือข่ายที่ต่างคนต่างช่วยกันดูแล ดังนั้นจึงลดความเสี่ยงของการถูกแฮ็คเนื่องจากข้อมูลไม่ได้อยู่ที่ศูนย์กลาง
การลงคะแนนเสียงผ่านแอพพลิเคชั่น Voatz (ที่มาภาพ: WVNews)

ขั้นตอนการใช้ Blockchainในการเลือกตั้ง

ด้วย Blockchainการลงทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดจะถูกเข้ารหัสและบันทึกไว้ในบัญชีแยกประเภท ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีสิทธิ์จะได้รับโทเค็นหรือคีย์ที่จะอนุญาตให้พวกเขาลงคะแนนในการเลือกตั้งครั้งเดียว กระบวนการนี้สามารถกำจัดผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงผีหรือขโมยข้อมูลประจำตัวของคนตายเพื่อให้ได้รับคะแนนพิเศษและปัญหาการลงคะแนนซ้ำซ้อน Donald Kersey ผู้อำนวยการการเลือกตั้งรัฐ West Virginia ระบุว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะใช้แอพพลิเคชั่นและบล็อคเชนในการเลือกตั้งนอกประเทศ หลังจากทดลองใช้งานมาแล้วในการเลือกครั้งกลางเทอมเมื่อปีที่แล้ว โดยจะใช้บริการของบริษัทสตาร์ทอัพ Voatz และเป็นการลงคะแนนสมาร์ทโฟนครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของรัฐบาลกลางเกิดขึ้น รัฐอนุญาตให้พลเมืองของตนลงคะแนนผ่านแอพฯ บนสมาร์ทโฟนเพื่อให้กระบวนการเลือกตั้งสะดวกยิ่งขึ้นสำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ การรับรองความถูกต้องทางไบโอเมตริกซ์ของแอพฯ นี้เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของหนึ่งในหลายๆ องค์ประกอบของการเลือกตั้งบน Blockchain อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจ คือในช่วงปลายเดือนสิงหาคมปี 2018 ที่เมือง Tsukuba ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเมืองที่โดดเด่นในเรื่องของการวิจัยหุ่นยนต์และวิทยาศาสตร์ก็ได้มีการทดลองนำเทคโนโลยี Blockchainมาปรับใช้เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ภายในเมือง โดยการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในระบบการลงคะแนนระหว่างการเลือกตั้งนายกเทศมนตรี ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคนเข้าร่วมและระบุตัวตนโดยใช้ "หมายเลขบัตรของฉัน" ซึ่งเป็นหมายเลขประจำตัว 12 หลักที่ออกให้กับประชาชนทุกคนของญี่ปุ่น ด้วยการระบุเอกลักษณ์ที่แตกต่างและไม่เหมือนใครต่อประชาชน การทดลองทำให้การเลือกตั้งราบรื่นและไร้ซึ่งปัญหา ยกตัวอย่างเช่นการปลอมแปลงข้อมูล เป็นต้น Blockchainสามารถตรวจสอบการลงคะแนนได้ทันทีที่การลงคะแนนเสร็จสิ้น นอกจากนี้เนื่องจากมีการบันทึกข้อมูลการกระจายอำนาจหรือการเลือกตั้งในคอมพิวเตอร์หลายเครื่องหรืออาจเป็นคอมพิวเตอร์หลายแสนเครื่องกระจายอยู่ทั่วประเทศ ประชาชนสามารถเชื่อมั่นในความโปร่งใสได้อย่างเต็มที่เนื่องจากไม่มีหน่วยงานกลางที่สามารถจัดการผลการเลือกตั้งได้ หรือกระทำการหนึ่งการใดเพื่อให้ข้อมูลถูกแก้ไข โดยการโกงที่เป็นไปไม่ได้มีเพียงวิธีเดียวคือการที่ผู้ลงสมัครเลือกตั้งที่จะต้องแฮ็คคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อกับ blockchainและเปลี่ยนข้อมูลทั้งหมดพร้อมกันในกรอบเวลาเล็กๆ ประเทศอย่างเอสโตเนีย (Estonia) ในยุโรป เซียร์ราลีโอน (Sierra Leone) ในแอฟริกาและอีกหลายประเทศกำลังก้าวเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ และในเอเชีย Bitkub Blockchain Technology Co. Ltd. ของประเทศไทยยังให้บริการ blockchainเพื่อให้คำปรึกษาด้านการบริการแก่บริษัท องค์กรและหน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งเพื่อพัฒนากรณีการใช้งานดังกล่าว Abraham Lincoln เคยกล่าวไว้ว่าบัตรลงคะแนนนั้นแข็งแกร่งกว่ากระสุนในการเปลี่ยนประเทศ และเราต้องมั่นใจกว่ากระสุนเหล่านี้ได้สะท้อนความตั้งใจของประชาชนผ่านการเลือกตั้งที่สุจริต และการเลือกตั้งจะยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเมื่อเทคโนโลยี Blockchainได้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาการเลือกตั้งให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาคนทั้งโลก