ลงทุนในการศึกษา เพื่ออนาคตอันสดใส
แนวโน้มตลาดการศึกษาระหว่างประเทศทั่วโลกนั้น มีการคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนนักเรียนนานาชาติเติบโตขึ้นตามการขยายตัวของประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ไม่ว่าจะเป็น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี ไทย เวียดนาม หรืออินโดนีเซีย รวมถึงประเทศในแถบทวีปอเมริกาใต้ บวกกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาการศึกษาต่อต่างประเทศที่เป็นภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองมากขึ้น เพื่อต่อยอดพัฒนาความรู้ให้สูงขึ้นและหวังสร้างโอกาสในการคว้างานดีๆ ควบคู่ไปกับการช่วยยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าได้ในอนาคต
จะเห็นได้ว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและอาเซียน ต่างมุ่งยกระดับอุตสาหกรรมภายในประเทศให้เป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุน ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปพร้อมๆ กันคือการพัฒนาประชากรในทุกระดับชั้น ให้มีศักยภาพทัดเทียมกับนานาประเทศเพื่อยกระดับขีดการแข่งขันของตัวเองและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และแน่นอนที่สุดการศึกษาเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญ ที่สามารถยกระดับคุณภาพแรงงานคนให้บรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าว
ผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจระหว่างประเทศดังกล่าว ได้กลายเป็นความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ ให้กับตลาดการศึกษาระหว่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาตลาดใหญ่ของการศึกษาระหว่างประเทศนั้นจะอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และเยอรมนีแต่ในปัจจุบันนี้ตลาดที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากนักเรียนต่างชาติคือ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา ซึ่งได้มีการพัฒนาหลักสูตรเพื่อรองรับตลาดการศึกษาจากเอเชียเพิ่มมากขึ้นนอกจากนี้แล้ว สภาพเศรษฐกิจที่ถดถอยในฝั่งยุโรปและอเมริกายังเป็นแรงขับให้ประเทศเหล่านี้เป็นตัวเปิดโลกการศึกษาเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากประเทศไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มแต่มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของตัวเอง อันเกิดจากการจับจ่ายของนักศึกษาต่างชาติ
ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มประเทศในเอเชียที่ทรงอิทธิพลด้านเศรษฐกิจ อาทิ จีน ญี่ปุ่นหรือแม้แต่อินเดียเอง ก็พยายามพัฒนาหลักสูตรนานาชาติขึ้นมารองรับความต้องการของนักศึกษาในประเทศตนเอง โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก ผ่านการนำเข้าหลักสูตร เหตุผลหลักก็เพื่อลดค่าใช้จ่ายจากการไปศึกษาต่อต่างประเทศ ดังนั้น กลุ่มประเทศดั้งเดิมที่มีฐานตลาดเด็กต่างชาติค่อนข้างมาก จึงต้องปรับยุทธศาสตร์การทำตลาดให้เข้มข้น เพื่อรักษาฐานตลาดเดิมและขยายฐานการตลาดใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น
เมื่อตลาดการศึกษามีการขยายตัวมากมายเช่นนี้ คำถามต่อมาคือ ตัวนักศึกษาเองจะเลือกศึกษาต่อที่ไหน? และศึกษาต่อด้านใดนี่คือโจทย์ที่น่าปวดหัวของผู้เรียนที่ต้องครุ่นคิดแต่สำหรับเด็กไทยแล้ว หากเราเอาตลาดแรงงานเป็นตัวตั้ง คำตอบอาจจะง่ายขึ้นก็เป็นได้ โดยผมเองขออ้างผลสำรวจตลาดแรงงานของ บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด พบว่า ตลาดแรงงานในประเทศไทยในอนาคตจะมีความต้องการด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และการบัญชี
นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการเรียนในระดับอาชีวะก็มีความสำคัญด้วยเช่นกัน เพราะตลาดมีความต้องการนายช่างเพื่อคุมงานนอกจากนี้ ตลาดยังมีความต้องการกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (data scientist) เพื่อทำงานในองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลเป็นจำนวนมาก รวมถึงนักการตลาดด้านดิจิทัล (digital marketing) และเทคโนโลยีใหม่ด้านการเงิน (FinTech) ตามกระแสเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกเมื่อเห็นภาพแนวโน้มตลาดแรงงานการตัดสินใจเลือกสาขาที่เรียนจะชัดเจนขึ้นและการเลือกประเทศที่จะไปศึกษาต่อก็จะง่ายเช่นกัน เพราะแต่ละประเทศก็มีสาขาการศึกษาที่โดดเด่นแตกต่างกันไป