ในปัจจุบันบทสนทนาเกี่ยวกับรถยนต์ที่มักจะได้รับการพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นคือ เรื่องรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือ EV (electric vehicle) และประโยชน์ที่ผู้บริโภคและผู้ขับขี่จะได้รับ ซึ่งประชาชนจำนวนมากยังให้ความสนใจใช้เปรียบเทียบเพื่อเป็นการตัดสินใจลงทุนในเทคโนโลยีดังกล่าว
ขณะที่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาประชาชนและผู้ขับขี่จำนวนมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่สูงถึงร้อยละ 83 ซึ่งส่งผลให้ความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น โดยผู้ขับขี่ในประเทศไทยร้อยละ 44 พิจารณารถยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นรถยนต์คันต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขจำนวนผู้ขับขี่ยานยนต์ไฟฟ้าในบ้านเรากำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จากสถิติของกรมการขนส่งทางบก พบว่า มียอดสะสมจากการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 2,854 คัน โดยเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเปลี่ยนโลกยอดการจดทะเบียนใหม่ 1,572 คัน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 เพิ่มสูงขึ้นกว่า 3 เท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2561 สำหรับตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการเปิดกว้างยอมรับเทคโนโลยียานยนต์ระบบพลังงานไฟฟ้าพร้อมทั้งประโยชน์นานัปการ อย่างไรก็ตาม ระบบขับเคลื่อนที่ปราศจากมลพิษ ยังมีอีกหลายบทบาทที่ให้ได้มากกว่าการเป็นแค่ยานพาหนะ เพราะช่วยขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงทิศทางบวกให้แก่โลกได้อีกหลายทาง- ออกแบบอนาคตยั่งยืนยุคเมกะเทรนด์
ดังนั้น นวัตกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าแห่งอนาคตดังกล่าวจะช่วยให้ผู้คนนับล้านมีอากาศสะอาดไว้หายใจมากขึ้นเพราะรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 1 คันสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 4.5 ตันต่อปี และหากต้นไม้ 1 ต้นสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 22 กิโลกรัมต่อปี ซึ่งนั่นหมายความว่า รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 1 คันให้ประโยชน์เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ได้ถึง 205 ต้น
นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้ายังเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดระบบสมาร์ทกริด (smart grid) ด้วยเทคโนโลยีการชาร์จที่สามารถช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า ซึ่งไม่เพียงแต่จะดึงพลังงานไฟฟ้าจากกริดมาเก็บไว้ในแบตเตอรี่เพื่อใช้ในการขับขี่ แต่ในกรณีที่จำเป็นก็สามารถถ่ายเทพลังงานกลับมาสู่กริดเพื่อหมุนเวียนกระแสไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์ได้อีกจากเทคโนโลยี Vehicle-to-Grid (V2G)
สำหรับในประเทศไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ดำเนินการทดลองจ่ายกระแสไฟจากพลังงานแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าไปยังระบบอาคารสำนักงานภายนอกผ่านเทคโนโลยี V2G ได้เป็นผลสำเร็จ ด้วยการใช้อุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้าเชื่อมต่อระหว่างรถยนต์ไฟฟ้า นิสสัน ลีฟ เข้ากับอาคารสำนักงานของ กฟผ. ซึ่งผลที่ได้เป็นไปด้วยดี นับเป็นก้าวแรกของความสำเร็จในประเทศไทย
ขณะเดียวกันความต้องการของการสื่อสารอย่างไร้รอยต่อระหว่างผู้ขับขี่และยานพาหนะยังเป็นหนึ่งในสิ่งที่คนเจเนอเรชั่นนี้ต่างมองหา ซึ่งนิสสันได้ให้ความสำคัญพัฒนาเทคโนโลยีระบบการขับขี่อัตโนมัติ ProPILOT 2.0 ที่ช่วยเหลือผู้ขับขี่ ยังมีระบบช่วยจอดผ่านรีโมต ProPILO Remote Park และเทคโนโลยีคันแร่งอัจฉริยะ e-Pedal รวมถึงเทคโนโลยีช่วยเหลืออย่าง Amazon Alexa เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถจัดการชีวิตได้ง่ายขึ้น
ท้ายที่สุดนี้ขอทิ้งท้ายถึงความมุ่งมั่นของนิสสันในการขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนพร้อมด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ด้วยความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ในอนาคตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะเป็นมากกว่ายานพาหนะแบบไร้มลพิษ โดยสามารถเป็นส่วนเติมเต็มที่ช่วยขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก สร้างประโยชน์ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงท้องถนน แต่ยังครอบคลุมถึงสังคมของเราทุกคน
ราเมช นาราสิมัน
ประธาน บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
อ่านเพิ่มเติม:
- PAYPAL เข้าซื้อกิจการ CURV ต่อยอดการให้บริการด้านคริปโต
- “คลังสินค้าอัจฉริยะ” หัวใจดิจิทัลซัพพลายเชนในอาเซียน
คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ในรูปแบบ e-magazine


