"ธนาคารยุคดิจิทัล" กับการขยายโอกาสในอาเซียน - Forbes Thailand

"ธนาคารยุคดิจิทัล" กับการขยายโอกาสในอาเซียน

FORBES THAILAND / ADMIN
21 Oct 2019 | 09:27 AM
READ 1625

อาเซียนมีแนวโน้มจะเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีการคาดการณ์ว่าจะขยายตัวเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลกภายในปี 2030 สืบเนื่องจากการขยายตัวแบบก้าวกระโดดของชนชั้นกลาง ซึ่งจะมีสัดส่วนเพิ่มจาก 29% เป็น 65% ของประชากรทั้งหมดในภูมิภาคอาเซียนรวมกัน และนับเป็นสัดส่วนขนาดใหญ่ของประชากรชนชั้นกลางของโลก

ชนชั้นกลางนี้เองจะเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน เพราะเป็นกลุ่มกำลังแรงงานที่มีการศึกษาและมีกำลังซื้อ ทำให้อาเซียนดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ และเป็นจุดหมายปลายทางของการลงทุนในเอเชีย ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากจีน

หากพิจารณาจากศักยภาพของภูมิภาคอาเซียน และโอกาสทางเศรษฐกิจที่มีมหาศาลแล้ว สำคัญมากที่ภาคธุรกิจจะสามารถใช้ประโยชน์จากการเข้าถึงสถาบันทางการเงินที่มีพื้นฐานความเข้าใจวิถีการดำเนินธุรกิจในประเทศ มีเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันในระดับภูมิภาค และมีการปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัล

ความคาดหวังจากกลุ่มลูกค้าและการแข่งขันในอุตสาหกรรมธนาคารนี้เอง ที่ทำให้ธนาคารต่างเร่งพัฒนา นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับใช้เพื่อช่วยการบริการต่างๆ ของธนาคาร ตั้งแต่ Front-end และ Back-end เพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดำเนินงานให้กับธุรกิจ ทั้งเรื่องร่นระยะเวลาและลดต้นทุน

เมื่อกล่าวถึงการปรับองค์กรสู่ดิจิทัลอย่างเต็มตัว (Digital Transformation) ของธนาคารแล้ว กลุ่มธุรกิจลูกค้ารายใหญ่ (Wholesale Banking) มีการเปลี่ยนแปลงแบบมีนัยสำคัญไม่น้อยไปกว่าฟากของกลุ่มธุรกิจรายย่อย (Retail Banking) ซึ่งสามารถจัดประเภทของการแปลงกระบวนการธนาคารให้เป็นดิจิทัล ได้เป็น 2 ทาง คือ Front-end และ Back-end

ในส่วนของ Front-end หรือ ส่วนที่ลูกค้าใช้งานได้เองโดยตรง เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทอย่างมากในเรื่องการจัดการห่วงโซ่อุปทานทางการเงิน (FSCM) ซึ่งเป็นการจัดการกระบวนการทางการเงินทั้งหมดของธุรกิจในระดับองค์รวม ตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มตั้งแต่ การจัดซื้อ การจัดการเงินทุนหมุนเวียน และการรับรู้กระแสเงินสด กระบวนการนี้ครอบคลุมทุกอย่างที่เป็นส่วนหนึ่งของการสั่งซื้อ ใบแจ้งหนี้ บัญชีกระทบยอด และการชำระเงิน

เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายในการบริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และลดต้นทุน อีกทั้งยังช่วยบริหารความสัมพันธ์ระหว่างคู่ค้า

แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ช่วยเรื่องการบริหารเงินสดและการค้าระหว่างประเทศ ที่ออกแบบให้รองรับการขยายตัวของธุรกิจระหว่างประเทศ ในหลายธนาคารปัจจุบันนี้ มีจุดเด่นเรื่อง Global View Access ที่เจ้าของบัญชีสามารถดูรายการเดินบัญชีของทุกบัญชีที่เปิดในประเทศที่ธนาคารมีสาขาอยู่ในภูมิภาคอาเซียน สามารถติดตามและควบคุมเงินในบัญชีแบบเรียลไทม์ รวมไปถึงควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อต้องการสั่งซื้อสินค้า

ทางด้าน Back-end หรือระบบหลังบ้าน ประเทศไทยเองได้รับประโยชน์จากวิสัยทัศน์ของหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจธนาคาร ที่ผลักดันให้เกิดการปรับองค์กรสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) ผ่านความร่วมมือของผู้ให้บริการทางการเงินในประเทศ

ยกตัวอย่างเช่น บริการ PromptPay ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรดแมพเรื่อง National ePayment ของธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วยให้ผู้ชำระเงินและผู้รับชำระเงินได้รับประโยชน์ทั้งสองทาง ในเรื่องความสะดวกสบายและการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ระบบนี้เป็นการเพิ่มช่องทางในการรับชำระเงิน และการบันทึกรายการสรุปยอดรายการทางบัญชี เป็นไปได้อย่างง่ายดาย

ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เองยังได้สนับสนุนเรื่อง National ePayment โดยมีบริการ PromptPay Bulk Fund Transfer และ Cross Bank Bill Payment ที่ช่วยให้ลูกค้ารับชำระเงินออนไลน์ จากหลากหลายช่องทาง เพียงใช้ proxy ID เช่น เลขประจำตัวผู้เสียภาษี หรือหมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งในอนาคตจะพัฒนาให้รองรับบริการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น รายงานเรื่องภาษีหัก ที่จ่าย หรือรายงานการประเมินความเสี่ยง

นอกจากนี้ จากความร่วมมือของสถาบันการเงินในประเทศ ภายใต้หน่วยงานชื่อ BCI ในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาพัฒนาแพลตฟอร์มในการออก Electronic Letter of Guarantee (ELG) หรือหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ ที่ย่นระยะเวลาในการยื่นเรื่องขอหนังสือค้ำประกันกับทางธนาคาร ลดการทำงานซ้ำซ้อน และสร้างมาตรฐานของรูปแบบหนังสือค้ำประกัน ที่ใช้ร่วมกันในอุตสาหกรรม ปลอดภัยและเชื่อถือได้จากการทำงานบนบล็อกเชน ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดจากวิธีการทำงานแบบเดิม และลดโอกาสในการปลอมหนังสือค้ำประกัน

หรือล่าสุด การสร้างระบบหลังบ้าน เพื่อมารองรับการให้บริการ QR Payment ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดตัวไปไม่นานมานี้ และได้เริ่มใช้งานแล้วในหลายๆ ธุรกิจ เช่น ห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ เป็นต้น

 

ดิจิทัลช่วยเพิ่มโอกาสให้ทั้งลูกค้าและธนาคาร

ในธุรกิจธนาคาร สำหรับลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่ดูแลลูกค้าหรือ Relationship Manager (RM) เป็นศูนย์กลางของความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับธนาคาร

ประโยชน์ของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ นอกจากจะเพิ่มประสิทธภาพ และลดค่าใช้จ่ายในการให้บริการแล้ว ยังสามารถช่วยธนาคารสานความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เพราะการสร้างประสบการณ์ที่ดีจะพัฒนาไปสู่ความสัมพันธ์อันดีในระยะยาว

การแปลงกระบวนการธนาคารให้เป็นดิจิทัล (Digitisation) ช่วยให้ RM สามารถจัดลำดับความสำคัญของงาน ลดภาระเรื่องงานเอกสารภายใน และมีเวลาเพิ่มขึ้นในการให้คำแนะนำลูกค้าด้วยข้อมูลเชิงลึกได้มากขึ้น และการเพิ่มช่องทางดิจิทัลจะสามารถอำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อและให้บริการลูกค้าได้หลากหลายอีกด้วย

นอกเหนือจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาในการตอบสนองความต้องการลูกค้า และช่วยแก้ปัญหาที่เกิดจากกระบวนการทางธนาคารแบบดั้งเดิมแล้ว เราคาดว่าจะเห็นธนาคารใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Analytics) ที่ได้จากการใช้งานของลูกค้าที่มีเพิ่มขึ้นบนบริการดิจิทัลของธนาคาร เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ดียิ่งดีขึ้น และนำมาปรับปรุง หรือสร้างโอกาสในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมถึงพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าที่มีกับธนาคาร

  Tan Choon Hin กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี (ไทย)  
คลิกเพื่อติดตามบทความทางด้านเศรษฐกิจและธุรกิจ ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับตุลาคม 2562 ในรูปแบบ e-Magazine