นพ.พุฒิพงศ์ ภูมิสุวรรณ หรือ “หมอบอย” ชื่อที่หลายคนคุ้นหู เขาเป็นทั้งเจ้าของ ผู้บริหาร และแพทย์มือหนึ่งด้านการฉีดฟิลเลอร์และร้อยไหมด้วยความที่เป็นการประยุกต์เทคโนโลยีการแพทย์ด้านความงามจากต่างประเทศเข้ามาเปิดบริการในเมืองไทย
ก้าวย่างบนถนนสายวิชาชีพด้านความงามของ นพ.พุฒิพงศ์ ไม่ได้เกิดจากแรงบันดาลใจในวัยเด็ก แต่ทว่าเป็นการมองโอกาสหลังจากที่เขาสำเร็จการศึกษาแพทยศาสตร์มาแล้วจากแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ออกมาทำงานที่โรงพยาบาลตำรวจได้ 1 ปีตัดสินใจไปเรียนต่อด้านผิวหนังที่สถาบันโรคผิวหนัง St Thomas’ Hospital มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ กลับมาเริ่มงานด้านแพทย์ผิวหนัง และจากนั้นได้เป็นแพทย์ฝึกอบรมด้านศัลยกรรมผิวหนังที่ Jackson Memorial Hospital มหาวิทยาลัยโรงเรียนแพทย์แห่งไมอามี สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ เขายังได้ประกาศนียบัตรด้านคีเลชั่นบำบัดจากสมาคมคีเลชั่นแห่งสหรัฐอเมริกา ประกาศนียบัตรด้านการชะลอวัยจาก American Academy of Anti-Aging Medicine 2010 “การเป็นแพทย์ต้องเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังเรียนรู้ศึกษาค้นคว้าอยู่ตลอด” เจ้าของ AIC คลินิกบอกว่า จุดเริ่มต้นในธุรกิจความงามของเขาเป็นคนละโพสิชั่นกับ AIC คลินิกในปัจจุบัน “สมัยก่อนไม่ได้ใช้ชื่อนี้ เป็นการจับตลาดอีกแบบหนึ่ง ผมทำคลินิกความงามประเภทรักษาสิว ฝ้า กระ เลเซอร์ ใช้ชื่อว่า วงศ์ษฎาคลินิก ส่วนใหญ่อยู่แถวฝั่งธน เคยมีถึง 14 สาขา ในทำเลฝั่งธน นครปฐม สมุทรสาคร” นพ.พุฒิพงศ์ย้อนอดีตช่วงแรกของการทำคลินิกของเขา ซึ่งเริ่มต้นด้วยการเจาะตลาดแมสกลุ่มวัยรุ่นคนหนุ่มสาววัยต่ำกว่า 30 ต่างกับ AIC คลินิกในปัจจุบันที่หันมาเน้นเรื่องความงามกึ่งศัลยกรรม การฉีดฟิลเลอร์ ร้อยไหม และการชะลอวัย โดยเน้นตลาดคนละกลุ่มซึ่งค่าบริการต่างกันหลายเท่าตัว แม้จะเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการและกลุ่มเป้าหมายแต่ นพ.พุฒิพงศ์บอกว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามั่นใจในธุรกิจด้านความงาม ก็คือ แม้เศรษฐกิจจะย่ำแย่แต่ผู้คนก็ยังให้ความสำคัญเรื่องนี้ “คลินิกผมเปิดปีแรกก็โดนวิกฤตต้มยำกุ้งพอดี ช่วงนั้นปี 2540 แต่เชื่อไหมไม่กระทบเลย ยอดเพิ่มขึ้นทุกเดือนจึงเปิดต่อเนื่องอีกหลายสาขา แต่ผ่านไป 4-5 ปีตลาดเริ่มเปลี่ยน เทคโนโลยีเริ่มเข้ามา” นี่คือจุดเริ่มต้นเมื่อคลินิกสิวฝ้า มีการแข่งขันรุนแรงขึ้น เขาก็ปรับโพสิชั่นใหม่ ชะลอวัยด้วยเทคโนโลยี เทคโนโลยีความงามที่ไม่ต้องอาศัยมีดหมอในการผ่าตัดทำให้การตอบรับดี AIC จึงมีจุดขายที่โดดเด่น ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดของคลินิกความงาม และกลายเป็นเซกเมนต์ใหม่ “เรา positioning ใหม่ โฟกัสเรื่องแก้ปัญหาการหย่อนคล้อย ทำ sagging เป็นเซกเมนต์ใหม่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ถุงใต้ตาสมัยก่อนผ่าตัดหมด เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง ทุกวันนี้คนนิยมเสริมความงามด้วยฟิลเลอร์ เพราะฉีดได้ทุกจุด ที่ทำาเยอะคือร่องใต้ตา การมีร่องใต้ตาทำให้ใบหน้าโทรม แต่พอฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มแล้วหน้าสดใสขึ้นทันที ส่วนค่าบริการยอมรับว่าค่อนข้างสูง การฉีดฟิลเลอร์คิดราคาเป็นซีซีราว 30,000 บาท/ซีซี ในปัจจุบันเป็นเรตอินเตอร์ สำหรับฟิลเลอร์นำเข้าจากสวีเดน ส่วนขนาดใช้ก็ต่างกันไป คือ 2 ซีซีสำหรับใต้ตา แต่ถ้าฉีดทั้งหน้าอยู่ที่ 20-30 ซีซี “ปัจจุบันเราใช้ ฟิลเลอร์มาทดแทนกระดูกที่ยุบตัว แก้ไขความแก่ของใบหน้า รักษาโครงหน้าตอนสาวเอาไว้ เพราะเวลาเราแก่กระดูกมันจะยุบลง ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์เราเคลมการอยู่ตามเอกสารกำกับยาคือปีเดียว แต่ความเป็นจริงมีผลวิจัยญี่ปุ่นว่าอยู่ได้ 8-9 ปี แต่ต้องฉีดเป็น” นพ.พุฒิพงศ์อธิบายว่า ฟิลเลอร์ในไทยมี 4-5 ยี่ห้อ ฟิลเลอร์จากเกาหลีถือเป็นเกรดรองราคาฟิลเลอร์จากยุโรปและในไทยแตกต่างกัน 10 เท่า “ราคามันต่างกัน 5-10 เท่า เราใช้สวีเดนอย่างเดียว เราไม่ใช้ยาหลายยี่ห้อรวมกัน เพราะทำให้การติดตามผลการรักษาไม่ดี ปัจจุบันยี่ห้อเดียวกันมีเกือบ 10 ตัว ฉีดปาก ฉีดแก้ม หลายคลินิกในเมืองไทยฉีดฟิลเลอร์ผสมซึ่งไม่ดี แต่คนไข้ไม่รู้ เหตุผลของคลินิกเหล่านั้นคือ ลดต้นทุนอย่างเดียว แต่เราต้องการ deliver best product best service ให้กับลูกค้า” เขาย้ำและว่า นี่คือที่มาของราคาที่ค่อนข้างสูง แต่ยืนยันว่าสมเหตุสมผล ผสานทักษะฝีมือกับนวัตกรรม “เราจับลูกค้าตลาดบนเป็นหลัก B+ ขึ้นไป คนทั่วไปคิดว่าการฉีดฟิลเลอร์คือ การขายฟิลเลอร์ซึ่งไม่ใช่ ทำไมฉีดแพงฉีดถูกต่างกัน มันอยู่ที่คนฉีดด้วย ทักษะฝีมือต่างกัน บางทีคนไข้อาจไปพบว่า ฟิลเลอร์ของแท้แต่คิดราคาถูกมาก นั่นอาจเป็นหมอมือใหม่ทดลองฉีด” นพ.พุฒิพงศ์บอกว่า การฉีดฟิลเลอร์สมัยก่อนไม่มีการสอน แต่ปัจจุบันมีแล้ว โดย AIC เป็นหนึ่งในสถานที่สอนฉีดฟิลเลอร์ “เราพยายามถ่ายทอดลูกน้องขึ้นมาให้มีฝีมือระดับบริการลูกค้าได้ไม่แพ้เรา แต่ของแบบนี้มันยาก ทุกวันนี้ลูกค้ายัง request เรา ขนาดราคาทำกับหมออื่นถูกลงครึ่งหนึ่ง แต่คนมีตังค์ก็อยากได้ดีที่สุด เป็นตลาดที่หลายคนอยากได้แต่ไม่ง่าย ยอมรับว่าเป็นตลาด ideal มาก ราคาสูง ลูกค้าไม่เกี่ยงเรื่องราคา รูดจ่ายทำหน้าได้ครั้งละเป็นล้านบาท เคยได้เคสสูงสุดเกือบ 2 ล้านในครั้งเดียว” อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงธุรกิจความงามในสถานการณ์โควิด นพ.พุฒิพงศ์บอกว่า “โควิดปีที่แล้วไม่กระทบเลยลูกค้ามีต่อเนื่อง แต่มาปีนี้เริ่มกระทบเพราะมีความไม่แน่นอนหลายอย่าง แต่เชื่อว่าหลังฉีดวัคซีนเรียบร้อยสถานการณ์จะกลับมา เพราะดีมานด์ไม่ได้หายไปไหน แต่ความมั่นใจมีข้อจำกัด เช่น ครอบครัวไม่ให้มา และบรรยากาศไม่เอื้อทำให้ชะลอไปบ้าง” แต่เขาเชื่อว่าในท้ายที่สุดก็จะกลับมา อาจใช้เวลาอีกสักระยะ แต่ด้วยคุณภาพ ทักษะ และเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์เชื่อว่าลูกค้ายังมั่นใจที่จะใช้บริการ “ถ้าผมทำผมต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ว่ารักษาคนไข้หรืองานสอน ผมเป็นคนกัดไม่ปล่อยและต้องไปให้สุด มีอะไรนิดเดียวไม่ปล่อยไว้ เพราะนี่คืองานศิลปะบนใบหน้าต้องทำดีที่สุด เรื่องงานต้องเพอร์เฟ็กต์แต่เรื่องอื่นๆ ผมเป็นคนสบายๆ” นพ.พุฒิพงศ์กล่าว ทิ้งท้าย ภาพ: ระพีพัฒน์ สิทธิชัยลาภาคลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2564 ในรูปแบบ e-magazine