4 ปีก่อนหน้านี้ Coinbase ธุรกิจเกิดใหม่ผู้บุกเบิกตลาดเงินดิจิทัลปฏิเสธที่จะหันหลังให้กฎหมาย ผลก็คือมูลค่าบริษัทเติบโตขึ้นเป็น 500 ล้านเหรียญพร้อมได้กระแสตอบรับที่ดีจากบรรดาธนาคารข้ามชาติยักษ์ใหญ่และเหล่านักลงทุน VC
วันที่ 18 มีนาคม 2013 วันที่เสมือนว่ารัฐบาลได้โยนระเบิดใส่ Coinbase ธุรกิจเกิดใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยคนเพียงสองคนใน San Francisco ผู้ให้บริการ “กระเป๋าเงินออนไลน์” บนระบบคลาวด์สำหรับซื้อขาย ฝาก และใช้จ่ายเงินบิตคอยน์ให้กับผู้ใช้งานกว่า 30,000 รายในวันดังกล่าวองค์กรปราบปรามอาชญากรรมทางการเงินแห่งสหรัฐฯ (Financial Crimes Enforcement Network หรือ FinCEN) ระบุให้ผู้บริหารหรือผู้แลกเปลี่ยนเงินเสมือนจริงอย่างบิตคอยน์ถือว่าเป็น “ผู้ให้บริการทางการเงิน” ที่ต้องมีใบอนุญาต ต้องขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานรัฐและอยู่ภายใต้ข้อกำหนด Bank Secrecy Act
ในคืนเดียวกันนี้ Ehrsam และ Brian Armstrong ผู้นั่งตำแหน่งซีอีโอของบริษัทจับเข่าปรึกษากันอย่างคร่ำเคร่งจนได้ข้อสรุป พวกเขาเห็นพ้องกันว่าการหลีกเลี่ยงไม่ขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องเป็นเรื่องขัดกับหลักการดำเนินธุรกิจและแบรนด์ของตน
Coinbase นั้นดำเนินธุรกิจด้วยเงินทุน 600,000 เหรียญสหรัฐฯ ที่ได้รับจากนักลงทุนใระยะเริ่มแรกและกำลังพยายามระดมทุนในรอบ series A การตัดสินใจจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎระเบียบหมายความว่า Coinbase ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหลายล้านเหรียญแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือจุดขายที่แข็งแกร่งและการได้จุดยืนของพวกเขาที่ต้องการดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายช่วยให้พวกเขาสามารถปิดดีลการระดมทุนได้สำเร็จ
ทำให้เดือนพฤษภาคม 2013 Union Square Ventures เป็นผู้นำการระดมทุนรอบ series A มูลค่า 6.1 ล้านเหรียญให้กับ Coinbase ในเดือนพฤศจิกายนบริษัทได้ทำประกันคุ้มครองการฉ้อโกงและการเจาะข้อมูล (บริษัทผู้รับประกันคือ Aon)และในเดือนถัดมา Andreessen Horowitz เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน 25 ล้านเหรียญในการระดมทุนรอบ series B ของบริษัท นับเป็นตัวเลขการลงทุนจาก VC ครั้งที่มีมูลค่าสูงที่สุดของบิตคอยน์ในเวลานั้น
ปัจจุบัน Armstrong วัย 33 ปีและ Ehrsam วัย 28 ปีมีพนักงานในทีม 117 คนและเป็นสองเสาหลักของธุรกิจ ผู้บริโภคจะผูกบัญชีอิเล็กทรอนิกส์เข้ากับบัญชีธนาคารและจ่ายค่าธรรมเนียมให้ Coinbase สำหรับการซื้อหรือขายสกุลเงินของแต่ละประเทศ โดยค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 1.49% สำหรับผู้จดทะเบียนบัญชีในสหรัฐฯ
Coinbase มีผู้ใช้งาน 4.8 ล้านคนจาก 33 ประเทศทั่วโลกโดยใช้เพื่อซื้อขาย ฝาก และชำระเงินบิตคอยน์และเงินดิจิทัลสกุลใหม่อื่นๆ อย่างธุรกิจใหม่ Global Digital Asset Exchange หรือ GDAX
ก้าวแรก Armstrong และ Ehrsam ตั้งเป้าต้องการให้บิตคอยน์เป็นรากฐานของระบบการเงินที่เปิดกว้างไปทั่วโลกแต่วิสัยทัศน์ดังกล่าวพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเมื่อพวกเขาพบว่ามีการใช้บิตคอยน์ในช่องทางอื่นนอกเหนือจากการซื้อขายหรือชำระเงินค่าสินค้า เช่น ใช้เป็นสื่อกลางในการระดมทุนจากมวลชนโดยตรงผ่านโลกออนไลน์ไปยังธุรกิจจัดเก็บข้อมูลหรือเดิมพันผลการแข่งขันกีฬาระดับโลก
Armstrong เติบโตขึ้นที่ San Jose รัฐ California หลังจบปริญญาโทสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ Armstrong เคยลองทำงานด้านที่ปรึกษาและย้ายไปอยู่ที่อาร์เจนตินาระยะหนึ่งก่อนเปลี่ยนงานมานั่งตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ Airbnb ใน San Francisco ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เขาเห็นอุปสรรคข้อจำกัดของการแลกเปลี่ยนโอนเงินระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด เมื่อ Armstrong บังเอิญอ่านเจอเอกสารเผยแพร่ของผู้คิดค้นบิตคอยน์ (ในเวลานั้นยังไม่ได้เปิดเผยตัวตน) ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
ในลักษณะเดียวกัน Ehrsam เคยผ่านประสบการณ์และเรียนรู้ถึงวิธีทำกำไรมหาศาลของตัวกลางอย่างสถาบันการเงิน เขาจบจาก Duke University โดยเรียนควบสองหลักสูตรในสาขาเศรษฐศาสตร์และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เช่นเดียวกับ Armstrong ในช่วงที่ Ehrsam ทำงานอยู่ที่ Goldman เขาเริ่มทวีความสนใจในบิตคอยน์ เขาแม้แต่ทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ จากการซื้อขายบิตคอยน์ในเวลากลางคืน
ในเดือนตุลาคม 2012 เขาบังเอิญเจอกระทู้ของ Armstrong บน Reddit ที่อธิบายถึงโปรแกรมต้นแบบกระเป๋าเงินบิตคอยน์บนระบบคลาวด์สำหรับให้บริการผู้ใช้งานที่ไม่ได้ “เชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยี” หรือไม่ต้องการเสี่ยงกับการเก็บข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ของตัวเอง เขาส่งอีเมล์ถึง Armstrong ซึ่งได้พัฒนากระเป๋าเงินดิจิทัลผ่านการเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะธุรกิจหน้าใหม่ Y Combinator รุ่นเดือนมิถุนายนปี 2012 พวกเขาเจอหน้ากันและเข้ากันได้อย่างลงตัว ความสามารถในการวิเคราะห์ภาพใหญ่ของ Ehrsam ช่วยเติมเต็ม Armstrong ที่มุ่งความสนใจไปยังรายละเอียดเชิงลึกของระบบเทคโนโลยี Armstrong จึงชักชวน Ehrsam ให้มาร่วมทีมเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Coinbase
ตั้งแต่ร่วมทีมกัน เงินดิจิทัลของพวกเขาเรียกกระแสฮือฮาได้อย่างรวดเร็ว เมื่อราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นมากกว่า 100 เท่า จากระดับต่ำกว่า 10 เหรียญทะยานขึ้นมากกว่า 1,100 เหรียญในปี 2013 ก่อนที่จะร่วงลงต่ำกว่า 200 เหรียญในเดือนมกราคม 2015 (ราคาซื้อขายเมื่อไม่นานมานี้อยู่ที่ราว 740 เหรียญหรือคิดเป็นมูลค่าตลาด 1.18 หมื่นล้านเหรียญสำหรับเงินบิตคอยน์ทั้งหมดที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ)
เดือนมกราคม 2015 Coinbase จึงเปิดบริการซื้อขายเงินดิจิทัลของตัวเองภายใต้ชื่อเปิดให้ผู้ใช้งานซึ่งมีถิ่นที่อยู่ใน 47 รัฐของอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป สิงคโปร์ และออสเตรเลีย สามารถซื้อหรือขายเงินดิจิทัลได้โดยตรงผ่านการกดปุ่มส่งคำสั่งซื้อขายด้วยตัวเองหรือใช้ระบบหุ่นยนต์ซื้อขายแบบอัตโนมัติ ทั้งนี้ Coinbase จัดเก็บเงินบิตคอยน์ประมาณ 6% ของที่หมุนเวียนทั่วโลกหรือคิดเป็นมูลค่าราว 700 ล้านเหรียญไว้บนระบบคอมพิวเตอร์ โดย ตลาดซื้อขายแห่งใหม่นี้มียอดการซื้อขาย 1 พันล้านเหรียญในปีแรก อาจด้วยคู่แข่งอย่าง Bitfinex ถูกจารกรรมเงินไป 72 ล้านเหรียญทำให้พวกเขาอยู่ในสถานะที่ดีกว่า
แม้ GDAX จะประสบความสำเร็จตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น แต่ Coinbase เชื่อว่าการซื้อขายเงินดิจิทัลไม่ใช่หนทางที่จะทำให้คนยอมรับและหันมาใช้บิตคอยน์อย่างแพร่หลาย Ehrsam เล่าถึงผลตอบรับที่เงียบของตลาดในช่วงปี 2015 ซึ่งแอพฯ เกี่ยวกับบิตคอยน์ที่ดูมีศักยภาพมากที่สุดกลับไม่ได้รับความนิยม
เดือนพฤษภาคมปี2016 Coinbase เริ่มเปิดให้มีการซื้อขาย ether (สกุลเงินของ Ethereum) บน GDAX Ehrsam อธิบายถึงศักยภาพของระบบประมวลผลใหม่นี้ในบล็อกออนไลน์ว่า “Ethereum ได้นำเอาภาษาชุดคำสั่งพื้นฐานทั่วไปของบิตคอยน์มาพัฒนาต่อยอดให้กลายเป็นระบบประมวลผลที่เต็มรูปแบบ”
เทคโนโลยีประมวลผลบล็อคเชนของ Ethereum กระตุ้นให้เกิดหนทางใหม่ในการระดมทุนโดยใช้ “เหรียญในแอพพลิเคชั่น”หรือ “หน่วยโทเคน” เพื่อสนับสนุนธุรกิจเกิดใหม่และระบบเครือข่ายแบบไร้เซิร์ฟเวอร์ (peer-to-peer networks) ตัวอย่างหนึ่งได้แก่ Augur ในปี 2015 บริษัทได้ขายหน่วยโทเคน ซึ่งสร้างบนระบบ Ethereum รวมมูลค่า 5.3 ล้านเหรียญ โดยหน่วยโทเคนนี้มีชื่อว่า Reputation (Rep) ผู้ถือเหรียญ Rep และ ดิจิทัลอีกสกุลหนึ่งที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาคือ Filecoin ที่มุ่งเป้าสนับสนุนและให้เงินทุนกับธุรกิจบริการจัดเก็บและแบ่งปัน ข้อมูลบนเครือข่ายที่กระจายการควบคุมไปยังคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่อาจสามารถแข่งขันกับ Amazon Web Services
ความสำเร็จของ Coinbase อาจขึ้นอยู่กับความสามารถในการปลุกปั้นภาพลักษณ์ในฐานะผู้นำตลาดเทคโนโลยีบล็อคเชน ที่ให้ความอิสระและสร้างสรรค์ขณะที่อยู่ “ข้างเดียว” กับกฎหมาย และสิ่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
คลิกอ่านฉบับเต็ม "หมากชั้นดีของบิคอยน์" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ กุมภาพันธ์ 2560