8 มหาเศรษฐีอเมริกัน ไม่ได้ร่ำรวยจากธุรกิจ-มรดก แต่มั่งคั่งจากตำแหน่งผู้บริหารขับเคลื่อนองค์กรชั้นนำ
เศรษฐีส่วนใหญ่ มักร่ำรวยจากการสร้างธุรกิจของตัวเอง หรือสืบทอดมรดกใหญ่จากคนที่ทำธุรกิจนั้น แต่ยังมีอีกกลุ่มเล็กๆ ของผู้บริหารชาวอเมริกันที่สามารถสะสมความมั่งคั่งระดับพันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการเป็นพนักงานที่ได้รับค่าตอบแทนสูง Forbes พบว่า มีเศรษฐีจากการเป็นพนักงานดังกล่าว ถึง 48 คนในปี 2025 เพิ่มขึ้นจาก 29 คน เมื่อปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ตามข้อมูลของบริษัท Equilar พบว่า ค่าตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของ CEO ที่ได้รับค่าตอบแทนสูงสุด 10 อันดับแรกในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นกว่า 7 เท่า จาก 46 ล้านเหรียญต่อปีในปี 2010 สู่สูงสุดที่ 330 ล้านเหรียญต่อปี ในปี 2021 ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ สร้างความมั่งคั่งผ่านเงินเดือนหรือค่าจ้างรายชั่วโมง แต่ผู้บริหารระดับสูงมักได้รับค่าตอบแทนจากออปชันหุ้น และรางวัลหุ้นอื่นๆ สิ่งนี้ช่วยให้ CEO ที่ได้รับค่าตอบแทนสูงสุดในสหรัฐฯร่ำรวยขึ้นไปอีก
แม้ว่าค่าตอบแทนเฉลี่ยของ 10 อันดับ CEO สูงสุด จะลดลงหลังช่วงโควิด เหลือ 125 ล้านเหรียญต่อปี ในปี 2023 โดยดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นเกือบ 370% ตั้งแต่ปี 2010 และเกือบ 25% ตั้งแต่ปี 2021 มูลค่าของหุ้นที่ผู้บริหารหลายคนได้รับในอดีตจึงพุ่งสูงขึ้น ช่วยให้คนรวยยิ่งรวยขึ้น และทำให้มีบริษัทจำนวนมากขึ้นที่ใหญ่พอที่จะสร้างเศรษฐีพันล้าน
ย้อนไปในปี 2010 มีมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน เพียง 7 คน จากทั้งหมด 403 คนที่ถูกรับจ้าง คิดเป็น 2% ของมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดของประเทศ ซึ่งรวมไปถึงอดีตผู้บริหาร 6 คนที่อยู่ในรายชื่อของปีนี้ด้วย ได้แก่ Steve Ballmer จาก Microsoft , Eric Schmidt จาก Google Jeff Skoll , Meg Whitman จาก eBay , John Brown จาก Stryker และ Tony James จาก Blackstone (คนที่ 7 คือ John Morgridge อดีต CEO ของ Cisco ซึ่งปัจจุบันไม่อยู่ในรายชื่อมหาเศรษฐี)
เวลาผ่านไป 15 ปี มหาเศรษฐีรับจ้างยังถือว่ามีไม่มาก แต่จำนวนของพวกเขากลับเพิ่มขึ้นในอัตราที่แซงหน้าการเติบโตของกลุ่มมหาเศรษฐีอเมริกันโดยรวมอย่างน่าเหลือเชื่อ และในปัจจุบัน 5% ของมหาเศรษฐีเกือบ 900 คนในสหรัฐ เป็นกลุ่มลูกจ้าง เพิ่มขึ้นจาก 4% หลัง Forbes รวบรวมไว้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2024 ซึ่งขณะนั้น มีมหาเศรษฐีชาวอเมริกันเกือบ 760 คน ส่วนรายชื่อของเศรษฐีพันล้านที่น่าสนใจในปีนี้ ได้แก่
Vasily Shikin
มูลค่าทรัพย์สิน : 1.9 พันล้านเหรียญ
ตำแหน่ง : CTO บริษัท AppLovin

Vasily Shikin เกิดและโตที่รัสเซีย เขาเข้าร่วมในบริษัทซอฟต์แวร์การตลาดและผู้พัฒนาเกมมือถือ AppLovin ในตำแหน่งรองประธานฝ่ายวิศวกรรม หลังบริษัทก่อตั้งในปี 2012 ต่อมาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีในปี 2020 และมีบทบาทสำคัญในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปีถัดมา
ความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของ Shikin มาจากรางวัลหุ้นตามผลงานที่เขาได้รับในปี 2023 ซึ่งจะปลดล็อกเต็มจำนวนได้ เมื่อราคาหุ้นของ AppLovin เพิ่มขึ้นหกเท่าภายใน 5 ปี บริษัทสามารถทำได้ตามเป้าหมาย หลังจากนั้นมูลค่าตลาดของบริษัทก็พุ่งขึ้นอีก 370% จนแตะระดับ 125 พันล้านเหรียญ ท่ามกลางกระแสความนิยมของธุรกิจ AI
ปัจจุบัน Shikin ถือหุ้น AppLovin เกือบ 1% คิดเป็นมูลค่ารวม 1.6 พันล้านเหรียญ และเขายังเป็น 1 ในมหาเศรษฐีพันล้านของ AppLovin ในจำนวน 8 คน รวมถึง Herald Chen ลูกจ้างร่วมบริษัทด้วย
Jon Winkelried
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 1.9 พันล้านเหรียญ
ตำแหน่ง : CEO บริษัท TPG , อดีตประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการร่วมของ Goldman Sachs

Winkelried เข้าร่วมงานกับธนาคาร Goldman Sachs ในปี 1982 และขึ้นดำรงตำแหน่งประธาน และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการร่วมในปี 2006 โดยทำงานเคียงข้างกับ Gary Cohn ซึ่งต่อมากลายเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจอาวุโสของประธานาธิบดีทรัมป์
เมื่อ Winkelried เกษียณในอีก 3 ปีต่อมา เขาได้ออกไปพร้อมกับหุ้น Goldman Sachs จำนวน 1.5 ล้านหุ้น ซึ่งจะมีมูลค่าเกือบ 900 ล้านเหรียญในปัจจุบัน เนื่องจากราคาหุ้นของธนาคารเพิ่มขึ้นเกือบหกเท่า ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2009 บวกกับทางเลือกในการซื้อหุ้นเพิ่มอีก 1.1 ล้านหุ้น และในปี 2015 เขาออกมาเกษียณ เพื่อมาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (Co-CEO) ของ TPG คู่กับ Jim Coulter ผู้ร่วมก่อตั้งมหาเศรษฐีของบริษัท
ต่อมา Winkelried ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแต่เพียงผู้เดียวในปี 2021 เมื่อ Coulter กลับไปรับตำแหน่งปัจจุบันในฐานะ Executive Chair ทั้งคู่ได้ช่วยกันนำพา TPG เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี 2022 ร่วมกับ David Bonderman ผู้ร่วมก่อตั้งมหาเศรษฐีอีกคนของบริษัท ทำให้หุ้นของ TPG พุ่งสูงขึ้นกว่า 50% และสัดส่วนการถือหุ้น 5% ที่ Winkelried ได้รับมาจากการทำงาน 10 ปี ให้กับบริษัทปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 950 ล้านเหรียญแล้ว
Larry Culp
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 1.5 พันล้านเหรียญ
ตำแหน่ง : ประธานและซีอีโอของ GE Aerospace, ประธานของ GE Healthcare, อดีต CEO ของ Danaher

Culp เข้าร่วมงานกับ Danaher ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมที่ก่อตั้งโดยพี่น้องมหาเศรษฐี Mitchell และ Steven Rales ในปี 1990 และได้ก้าวขึ้นเป็นประธานและ CEO ในปี 2001 เมื่อเขาเกษียณในอีก 14 ปีต่อมา Culp ได้ช่วยผลักดันราคาหุ้นของบริษัทให้เพิ่มขึ้นมากกว่า 500% และทำกำไรสุทธิเกือบ 230 ล้านเหรียญ จากการใช้สิทธิซื้อหุ้นและขายหุ้นที่ได้มาตลอดช่วงเวลาดังกล่าว
ทำให้เขาถือหุ้นของบริษัท Danaher จำนวน 1.7 ล้านหุ้น ซึ่งหากยังถืออยู่จนถึงปัจจุบันจะมีมูลค่าราว 350 ล้านเหรียญ เนื่องจากราคาหุ้นของ Danaher เพิ่มขึ้นมากกว่า 200% นอกจากนี้ เขายังมีสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มเติมอีก 2.9 ล้านหุ้น
เขาออกวัยเกษียณในปี 2018 เพื่อพลิกฟื้นบริษัท General Electric ที่ประสบปัญหาในตำแหน่งประธานและ CEO และเขาได้แบ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีขนาดใหญ่เกินไป ออกเป็น 3 บริษัทจดทะเบียนแยกกัน
โดยแยกธุรกิจด้านสุขภาพออกเป็น GE HealthCare ในปี 2023 และธุรกิจพลังงานออกเป็น GE Vernova ในปี 2024 ราคาหุ้นของบริษัทต้นฉบับ ซึ่งปัจจุบันรู้จักในชื่อ GE Aerospace เพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่า นับตั้งแต่ Culp เข้าดำรงตำแหน่ง CEO ทำให้เขาได้รับหุ้นของทั้ง 3 บริษัทรวมกันที่มีมูลค่ามากกว่า 400 ล้านเหรียญ
Nikesh Arora
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 1.4 พันล้านเหรียญ
ตำแหน่ง : ประธาน และ CEO บริษัท Palo Alto Networks, อดีต COO ของ Softbank, อดีตประธานฝ่ายธุรกิจของ Google

หลังจากทำงานกับ Google เกือบหนึ่งทศวรรษ Arora ออกจากบริษัท ไปยังยักษ์ใหญ่วงการลงทุนของญี่ปุ่น Softbank ในปี 2014 โดยได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการในอีกหนึ่งปีต่อมา และถูกมองว่าจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของ Masayoshi Son ผู้ก่อตั้งมหาเศรษฐีของบริษัท
อย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามแผน Arora ลาออกจากตำแหน่งผู้บริหารในปี 2016 แม้เขาจะยังคงอยู่ในบริษัทเป็นที่ปรึกษาอีก 1 ปี สุดท้ายเขาตัดสินใจถอนเงินสดอย่างน้อย 360 ล้านเหรียญ ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทำงานกับ Softbank ซึ่งมาจากทั้งผลตอบแทนที่มีมูลค่าสูงของเขาและข้อตกลงการลาออก
เขาใช้เวลา 1 ปีในการเป็นนักลงทุนอิสระ จากนั้นจึงเข้าร่วมบริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ Palo Alto Networks ในตำแหน่งประธานและซี CEO ในปี 2018 บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 2005 โดยผู้ประกอบการชาวอิสราเอล-อเมริกันชื่อ Nir Zuk ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง CTO
ราคาหุ้นของบริษัทได้พุ่งสูงขึ้นเกือบหกเท่าตัว นับตั้งแต่ Arora เข้ามารับตำแหน่ง ทำให้ทั้งเขาและ Zuk กลายเป็น มหาเศรษฐีพันล้าน Arora ได้ทำกำไรสุทธิไปเกือบ 800 ล้านเหรียญจากการใช้สิทธิซื้อหุ้นและขายหุ้นที่ได้มาในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา และยังคงเหลือหุ้น และสิทธิซื้อหุ้นที่มีมูลค่าอีก 340 ล้านเหรียญ
Greg Brown
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 1.3 พันล้านเหรียญ
ตำแหน่ง : ประธานและ CEO ของ Motorola Solutions

Brown เป็น CEO ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของ Motorola รองจากผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอย่าง Paul Galvin (ถึงแก่กรรมปี 1959) และลูกชายของเขา Bob Galvin (ถึงแก่กรรมปี 2011) Brown ร่วมงานกับ Motorola ในปี 2003 และได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารในปี 2008 เขาได้แยกธุรกิจสมาร์ทโฟนเดิมที่กำลังประสบปัญหาของบริษัทออกไปเป็นบริษัทมหาชนแยกออกมา ในชื่อ Motorola Mobility ในปี 2011 และบริษัทผู้ผลิต Razr นี้ ถูก Google เข้าซื้อกิจการในราคา 12.5 พันล้านเหรียญในอีกหนึ่งปีต่อมา
หลังจากนั้น ด้วยการเข้าซื้อกิจการกว่า 50 ครั้ง Brown ได้พลิกโฉมบริษัทซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Motorola Solutions ให้กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดเกือบ 70 พันล้านเหรียญ ในตลาดการสื่อสารด้านความปลอดภัยสาธารณะ ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทพุ่งสูงขึ้นกว่าหกเท่าตัว นับตั้งแต่ Brown เข้ารับตำแหน่ง และสามารถทำกำไรสุทธิไปมากกว่า 700 ล้านเหรียญ จากการใช้สิทธิซื้อหุ้นและการขายหุ้นตลอดช่วงเวลาดังกล่าว เขายังคงถือครองหุ้นและสิทธิซื้อหุ้นของ Motorola Solutions ซึ่งมีมูลค่าอีก 600 ล้านเหรียญ
Joseph Baratta
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 1.2 พันล้านเหรียญ
ตำแหน่ง: หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนเอกชนระดับโลก บริษัท Blackstone

Michael Chae
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 1.2 พันล้านเหรียญ
ตำแหน่ง : รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ของ Blackstone

Baratta และ Chae เป็น 2 ใน 5 มหาเศรษฐีที่เป็นพนักงานจากบริษัท Blackstone ซึ่งเป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์ทางเลือกยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดเกือบ 180 พันล้านเหรียญ ก่อตั้งโดยมหาเศรษฐี Stephen Schwarzman และ Pete Peterson
Baratta เข้าร่วม Blackstone ในปี 1998 และย้ายไปลอนดอนในปี 2001 เพื่อช่วยสร้างธุรกิจ Private Equity ในยุโรป และดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายทั่วโลกตั้งแต่ปี 2012
Chae เข้าร่วม Blackstone ในปี 1997 และบริหารธุรกิจ Private Equity ระหว่างประเทศก่อนที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ในปี 2015 และเป็นรองประธานในเดือนมกราคม ราคาหุ้นของ Blackstone เพิ่มขึ้นเกือบ 15% ในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้ง Baratta และ Chae ต่างถือครองหุ้นที่มีมูลค่าเกือบ 1 พันล้านเหรียญ
Satya Nadella
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 1 พันล้านเหรียญ
ตำแหน่ง : CEO บริษัท Microsoft

ด้วยราคาหุ้นของ Microsoft ที่พุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ประธานและCEO ของบริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่ กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านเป็นครั้งแรก สำหรับ Nadella เข้าร่วมงานกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในปี 1992 และก้าวขึ้นเป็น CEO ในปี 2014
Nadella ได้รับแต่งตั้งเป็น Chairman ในปี 2021 แทนที่ John Thompson ผู้บริหารและนักลงทุนด้านเทคโนโลยีอาวุโส ซึ่งเข้ารับตำแหน่งนี้จาก Bill Gates ผู้ร่วมก่อตั้งมหาเศรษฐีของ Microsoft ในปี 2014
ในฐานะ CEO Nadella ทำให้ Microsoft กลายเป็นผู้เล่นรายสำคัญในยุคบูมของ AI โดยลงทุนใน OpenAI ไปแล้วกว่า 10,000 ล้านเหรียญ ตั้งแต่ปี 2019 เขาถือครองหุ้นของบริษัทที่มีมูลค่าตลาด 3.4 ล้านล้านเหรียญนี้ เพียงแค่ 0.01% เท่านั้น แต่สัดส่วนเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐี เมื่อรวมกับมูลค่าจากการขายหุ้นที่เขารับไปแล้วกว่า 600 ล้านเหรียญ
แปลและเรียบเรียงจากบทความ : Hired-Hand Billionaires 2025: These 48 Executives Got Rich Working For Others
ภาพ forbes
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : อัปเดตความมั่งคั่ง 10 อันดับ 'มหาเศรษฐีอินเดีย' ประจำปี 2025
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine


