'Swisstainable' เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์อย่างยั่งยืน กับ 'การรถไฟยุงเฟรา' - Forbes Thailand

'Swisstainable' เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์อย่างยั่งยืน กับ 'การรถไฟยุงเฟรา'

ปัจจุบันภาวะโลกร้อนได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปทั่วโลก หลายบริษัทซึ่งรวมทั้งภาครัฐและเอกชนในแต่ละประเทศ ต่างตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาดังกล่าวที่อาจจะแผ่ขยายเพิ่มขึ้น จึงได้ปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการภายในองค์กรมาเป็นรูปแบบ 'Sustainability' เพื่อพัฒนาสร้างความยั่งยืนให้แก่เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เหลือศูนย์ (Net Zero) ได้ในอนาคต


    การรถไฟยุงเฟรา คือหนึ่งในตัวอย่างของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านระบบขนส่งและการท่องเที่ยวจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ยึดถือหลักการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งหากมองย้อนอดีตกลับไปบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้ มีวิสัยทัศน์มองการณ์ไกลมาอย่างยาวนาน เห็นได้จากในปี 1896 'Adolf Guyer-Zeller' ผู้ก่อตั้งการรถไฟยุงเฟรา เกิดความคิดริเริ่มอยากจะนำเอาเทคโนโลยีต่างๆ มาสร้างทางรถไฟขึ้นสู่ยอดเขายุงเฟราเพื่อร่นระยะเวลาการเดินทางให้สั้นลงจากเดิมที่จะต้องใช้เวลานานและยังต้องเดินขึ้นเขาด้วยความยากลำบากจากการปีนป่ายไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยวและสูงชัน 



    หลังได้รับการอนุมัติสัมปทานก่อสร้างจากรัฐบาล เขาจึงได้เริ่มก่อสร้างเส้นทางการรถไฟสายแรกขึ้น ณ บริเวณพื้นที่ Kleine Scheidegg การก่อสร้างในช่วงยุคเริ่มต้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก นับตั้งแต่การระเบิดเจาะภูเขา การวางไม้หมอนลงทีละท่อน ต่อเนื่องไปจนถึงวางรางรถไฟตลอดเส้นทางอันคดเคี้ยวสูงชันของภูเขา โดยทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา ต้องใช้ความสามารถทางด้านวิศวกรรมอันยิ่งใหญ่และต้องใช้ระยะเวลาการก่อสร้างยาวนานถึง 16 ปี โครงการนี้ถึงจะสำเร็จออกมาเป็นรูปร่างพร้อมเปิดให้บริการในปี 1912 และด้วยความสูงถึง 3,454 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เส้นทางสายนี้จึงได้รับการขนานนามว่า 'สถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป' ณ ยุคนั้น

    ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Urs Kessler ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการรถไฟยุงเฟรา จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้เดินทางมาร่วมงานเสวนา 'เคทีซีปลุกกระแสท่องเที่ยวยังยืนจากไทยสู่เวทีโลก' ที่ทางบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ได้จัดขึ้น พร้อมให้ข้อมูลว่า พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกในปัจจุบันเริ่มมองหาการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น 

    กลุ่มบริษัทการรถไฟยุงเฟรากรุ๊ป (Jungfrau Railway Group) จึงได้พัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวเข้ามาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่มากขึ้นตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น การนำรถไฟและกระเช้าลอยฟ้า (Cable Car) ที่เป็นพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด 100% มาใช้ขนส่งสินค้าและให้บริการแก่ผู้โดยสารเพื่อลดการใช้รถหรือถนนที่ต้องเผาผลาญพลังงานเชื้อเพลิงที่ทำลายสิ่งแวดล้อมและยังเป็นการสร้างมลภาวะทางอากาศให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ภายในพื้นที่ท่องเที่ยวตามหมู่บ้านต่างๆ 

    "นอกเหนือจากการเดินทางและขนส่งสินค้าที่ใช้พลังงานสะอาดแบบ 100% แล้ว ในอนาคตเรายังมีแผนที่จะสร้างพลังงานสะอาดด้วยระบบโซลาร์ขนาด 12 เฮกตาร์บนเทือกเขาแอลป์ โดยมีเป้าหมายที่จะผลิตพลังงานไฟฟ้าให้ได้ 12 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมงต่อปี เพื่อรองรับความต้องการแก่ผู้บริโภค 3,000 ครัวเรือนในช่วงฤดูหนาวซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่มีความต้องการสูงสุดและค่าไฟฟ้ายังแพงมากที่สุดอีกด้วย" CEO ของการรถไฟยุงเฟรา กล่าว



    และจากการผนึกกำลังร่วมกันระหว่าง 3 พันธมิตรอย่าง KTC บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) , การรถไฟยุงเฟรา รวมถึง สายการบินเตอร์กิซ แอร์ไลน์ จึงได้มีการจัดทริปพาคณะสื่อมวลชนของไทยเดินทางไปสัมผัสบรรยากาศของวิวทิวทัศน์อันสวยงามตามธรรมชาติจากภูเขาทั้ง 4 ลูก ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่เหล่านักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องห้ามพลาด พร้อมกับจดเอาไว้ใน Bucket List! ว่า 'หากมีโอกาสเมื่อไร...จะต้องหาทางมาเยือนให้ได้สักครั้ง' ซึ่ง 'การรถไฟยุงเฟรา' คือ บริษัทเอกชนรายใหญ่รายเดียวที่ดูแลเส้นทางการเดินรถไฟ, รถราง และกระเช้าลอยฟ้าเพื่อการขนส่งตลอดจนบริหารกิจการการท่องเที่ยวต่างๆ บนพื้นที่ภูเขาทั้ง 4 ลูก ได้แก่


1. Jungfraujoch : Top of Europe

    'ยุงเฟราย็อค' ยอดเขาที่ได้รับการขนานนามว่าสูงที่สุดในทวีปยุโรป ด้วยระดับความสูง 4,158 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล คือ ดินแดนอันสวยงามที่มีธารน้ำแข็งยาวที่สุดในเทือกเขาแอลป์และรวมถึง Aletsch Glacier ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่และยาวที่สุดในยูเรเซียตะวันตก ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากทาง 'องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ' หรือ UNESCO ในปี 2001 

    Jungfrau-Aletsch-Bietschhorn นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังแล้ว ยังถือเป็นจุดหมายปลายทางของผู้มีความสนใจเป็นพิเศษทางวิทยาศาสตร์ในการหาคำอธิบายเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงของธารน้ำแข็ง และการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบนิเวศวิทยาทั้งสิ่งมีชีวิตรวมถึงพืชและสัตว์ที่อยู่ในบริเวณนั้น



    ด้วยภูมิทัศน์อันสวยงามสุดตระการตาและมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี ประกอบกับการมีสถานีรถไฟที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในยุโรปในระดับ 3,454 เมตร คอยให้บริการ อีกทั้งกิจกรรมการท่องเที่ยวบนภูเขาแห่งนี้ยังสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่เหล่านักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี อาทิ ระเบียงชมวิวสฟิงซ์, ไอซ์พาเลซ อัลไพน์ เซนเซชัน และลานหิมะบนธารน้ำแข็ง ถือเป็นไฮไลต์สำคัญของการสร้างรายได้หลักจากเหล่านักท่องเที่ยวทั่วโลก คิดเป็นสัดส่วนของจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนสูงสุดมากถึง 50% เมื่อเทียบกับภูเขาอีก 3 ลูกที่เหลือ 

    และด้วยสัดส่วนของราคาการเดินทางขึ้น-ลงภูเขาต่อเที่ยวของยุงเฟราย็อคก็ยังมีราคาแพงที่สุดหากเทียบกับภูเขาลูกอื่น โดยคิดเป็นราคาไป-กลับอยู่ที่ 195 ฟรังก์สวิส หรือ คิดเป็นเงินไทยราว 7,660 บาท ขณะที่การเดินทางขึ้นเขาลูกอื่นจะมีราคาถูกกว่า เช่น ราคาของการเดินทางขึ้น-ลง เขากรินเดิลวาลด์-เฟียสต์ จะมีราคาอยู่ที่ 64 ฟรังก์สวิส คิดเป็นเงินไทยประมาณ 2,520 บาท จึงทำให้สัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวที่มาเยือนยุงเฟราย็อคสร้างมูลค่าได้มากที่สุดด้วยเช่นกัน


2. Grindelwald-First : Top of Adventure 

    ภูเขา 'กรินเดิลวาลด์-เฟียสต์' ยอดเขาที่สูง 2,168 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ถือเป็น 1 ในสุดยอดของหุบเขาที่เหล่านักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบการผจญภัยและความท้าทายสามารถเพลิดเพลินสนุกสนานไปกับ 4 กิจกรรมสไตล์ Adventure อย่าง เฟียสต์ฟลายเออร์, เฟียสต์ไกลเดอร์, รถคาร์ทภูเขา และทร็อตติไบค์ ได้ตลอดช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว โดยเหล่านักท่องเที่ยวที่มาเยือนถึงถิ่นนี้สามารถสัมผัสบรรยากาศอันยิ่งใหญ่สวยงามแบบ 360 องศา ได้ตลอดการเล่นกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการเดินทางอย่าง 'กระเช้าลอยฟ้า' หรือ Cable Car ที่สามารถชมวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติบ้านเรือนและหุบเขาได้ตลอดเส้นทางก่อนจะถึงสถานีจุดหมายปลายทาง


3. HARDER KULM : Top of Interlaken 

    แม้จะเป็นยอดเขาที่มีความสูงต่ำสุดหากเทียบกับภูเขาลูกอื่นๆ ในระดับความสูง 1,323 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล แต่ภูเขา 'ฮาร์เดอร์ คูล์ม' ซึ่งถือได้ว่าเป็น Top of Interlaken หรือ 'ที่สุดของเมืองอินเทอร์ลาเกน' นั้น ก็ยังคงมีเอกลักษณ์อันสวยงามโดดเด่นดึงดูดใจเหล่านักท่องเที่ยว เพราะหากใครที่ตั้งใจจะมาเยือนยอดเขาแห่งนี้ ก็จะได้สัมผัสกับการนั่งรถรางที่มีอายุการใช้งานมานานกว่า 100 ปี แต่ก็ยังคงดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพดี พร้อมให้บริการด้วยระยะทาง 1.4 กิโลเมตร ในการไต่ขึ้นเขาที่มีความสูงชัน ควบคู่ไปกับการชื่นชมบรรยากาศอันสวยงามของต้นไม้และธรรมชาติได้ตลอดเส้นทาง 




    และเมื่อถึงสถานีปลายทางเหล่านักท่องเที่ยวก็จะได้สัมผัสกับจุดชมวิวสวยๆ ของการชมวิวเมืองอินเทอร์ลาเกน, ภูเขาไอเกอร์ เมิ้นซ์, ภูเขายุงเฟรา รวมถึงทะเลสาปธูนและเบรียนซ์ ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งจุดชมวิวดังกล่าวนี้ตั้งอยู่บริเวณสะพานทางด้านตะวันตกภายในโซนภัตตาคารเก่าแก่ที่มีชื่อเดียวกันกับภูเขา 'ฮาร์เดอร์ คูลม์' อย่างไรก็ตาม ภูเขาแห่งนี้จะเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวเฉพาะฤดูร้อน เพราะฤดูหนาวฟ้ามืดไวและไม่สะดวกต่อการนั่งรถไฟราง



4. SCHYNIGE PLATTE : TOP OF SWISS TRADITION

    'ชนีเก้ ปลาตเต้' ภูเขาที่ขึ้นชื่อได้ว่า 'ที่สุดของความเป็นสวิสขนานแท้' การได้นั่งรถไฟขบวนเก่าแก่ที่ผลิตมานานนับร้อยปีนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 แต่ยังคงไว้ซึ่งความคลาสสิคจากเก้าอี้ห้องโดยสารที่ทำจากไม้อย่างประณีต ถือเป็นหนึ่งในประสบการณ์อันล้ำค่าจากการเดินทางที่หาที่ไหนไม่ได้ง่ายๆ 

    'สวนพฤกษชาติอัลไพน์' ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายของภูเขาลูกนี้ให้เหล่านักท่องเที่ยวได้เดินทางมาสำรวจชื่นชมความงามของดอกไม้และพืชพันธุ์ต่างๆ กว่า 777 สายพันธุ์



    นอกเหนือจากความประทับใจของการได้ไปเยือน 4 ขุนเขาแห่งความงามเหล่านี้แล้ว คณะสื่อมวลชนจากไทยยังเกิดความประทับใจในด้านการบริหารจัดการของ 'การรถไฟยุงเฟรา' ที่แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบ 'Sustainable' เพื่อความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง อาทิ การดูแลบำรุงรักษาหัวจักรและตัวรถไฟที่ผลิตมานานราว 100-130 ปี ให้ยังคงใช้งานได้ดีอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการนำเอาเทคโนโลยีนวัตกรรมต่างๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น การใช้รถไฟในรูปแบบ Hybrid พลังงานไฟฟ้า เป็นต้น




    ทั้งนี้ คณะสื่อมวลชนของไทยยังได้สัมผัสกับการนั่งกระเช้าลอยฟ้า Eiger Express ที่เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2020 โดยความโดดเด่นของกระเช้าลอยฟ้าของที่นี่ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึง Innovation นวัตกรรมการผลิตที่ทันสมัยด้วยงบการก่อสร้างราว 470 ล้านฟรังก์ จากการใช้เสาเพียง 7 ต้น รองรับเคเบิล 3 สายตลอดเส้นทาง โดยไม่จำเป็นต้องถางป่าหรือตัดต้นไม้ทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นจำนวนมากอีกด้วย 



    Eiger Express มีจำนวนทั้งสิ้น 44 คัน สามารถขนส่งผู้โดยสารได้มากสุดถึง 2,200 คนต่อชั่วโมง ซึ่งตัวกระเช้าลอยฟ้า 1 คัน จะรองรับผู้โดยสารได้มากสุดจำนวน 26 คน และยังสามารถขนส่งสินค้าขึ้น-ลงภูเขาควบคู่ไปกับการรับส่งผู้โดยสารได้ด้วย หากแต่กระเช้าคันนั้นจะต้องมีการลดจำนวนที่นั่งลงเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับจัดวางในการขนส่งสินค้าไปพร้อมๆ กันในคราวเดียว




    และเพื่อเป็นการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันของกลุ่มนักเดินทางท่องเที่ยวระดับพรีเมียมที่มีกำลังซื้อสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มลูกค้าชาวจีน ทาง Eiger Express ยังมีบริการกระเช้าลอยฟ้าสำหรับกลุ่ม VIP จำนวน 1 คัน No.888 ที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้จำนวน 10 คนต่อเที่ยว พร้อมกับเสิร์ฟแชมเปญให้อีก 1 ขวด เพื่อสร้างประสบการณ์ในการเดินทางอีกระดับแบบสุด Exclusive ซึ่งผู้ที่สนใจใช้บริการกระเช้า VIP คันนี้ จะต้องทำการจองล่วงหน้า



    Remo Kaeser ผู้อำนวยการด้านการตลาด การรถไฟยุงเฟรา เผยว่า ทางบริษัทได้ดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอดและยังใช้พลังงานหมุนเวียนให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแท้จริง 100% อีกทั้งการบริหารจัดการต่างๆ ที่เกิดขึ้น นอกเหนือจากการสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจอย่างยั่งยืนแล้ว ยังช่วยสนับสนุนให้ประชาชนผู้อยู่อาศัยในแต่ละพื้นที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น นับตั้งแต่ธุรกิจรายย่อยอย่างโรงแรมที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร ต่อเนื่องไปถึงร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก เป็นต้น



    "เรามีโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่ผลิตขึ้นเองเพื่อรองรับการใช้ไฟในช่วงฤดูหนาวซึ่งถือเป็นช่วงที่มีความต้องการไฟฟ้าสูงสุด และยังมีโรงงานผลิตน้ำสะอาดที่ปั๊มขึ้นไปบนภูเขารองรับความต้องการการใช้งานแก่บ้านเรือนและนักท่องเที่ยวราว 5 แสนคน ควบคู่ไปกับการบำบัดน้ำให้สะอาดก่อนจะปล่อยกลับลงมาด้านล่างของภูเขา เราตระหนักถึงปัญหาด้านขยะหรือเรื่อง Food Waste ในการกำจัดอาหารเหลือทิ้งให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อไม่ให้กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม นอกจากนี้ เรายังเลือกสนับสนุนสินค้าอย่าง ผัก ผลไม้ หรือชีส จากชุมชน รวมถึงการก่อสร้างต่างๆ ก็จะเลือกใช้แต่บริษัทภายในพื้นที่ แทนการใช้บริษัทรับเหมารายใหญ่จากต่างประเทศ" Remo กล่าวเสริม 



    อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการด้านการตลาด การรถไฟยุงเฟรา ยังเล่าให้ฟังอีกด้วยว่า สำหรับการก่อสร้างที่ผ่านๆ มา ทางบริษัทจะต้องมีการทำประชาพิจารณ์เพื่อเปิดโอกาสให้เหล่าตัวแทนชุมชนหรือคนในพื้นที่ได้แสดงความเห็นในด้านต่างๆ ที่จะกังวลว่าจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่อย่างไร โดยทุกโครงการจะต้องผ่านการโหวตหรือมีมติเห็นชอบจากเหล่าชาวบ้านที่เป็นสมาชิกในชุมชนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 อีกด้วย 

    ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวดีๆ ที่หลายธุรกิจสามารถนำมาประยุกต์ใช้ รวมถึงเหล่านักท่องเที่ยวสามารถไปสัมผัสบรรยากาศของเมืองแห่งหุบเขาอันงดงามควบคู่ไปกับประสบการณ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่ไม่กระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมบูรณ์


เครดิตภาพ : กนกวรรณ มณีแสงสาคร, KTC บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ การรถไฟยุงเฟรา สวิตเซอร์แลนด์

สนับสนุนการเดินทางโดย : KTC บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน), การรถไฟยุงเฟรา สวิตเซอร์แลนด์ และ สายการบินเตอร์กิซ แอร์ไลน์



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 'ทัวร์ฟรี อิสตันบูล' สายการบิน 'เตอร์กิซ แอร์ไลน์' ให้บริการตอบโจทย์นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกระหว่างรอต่อเครื่อง

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine