โลกของแชมเปญนั้นน่าพิศวงโดยเฉพาะเรื่องของราคาที่ดินในแคว้น Champagne มีจำกัดผู้ผลิตแชมเปญชั้นเลิศจึงต้องต่อสู้แย่งชิงองุ่นที่ดีที่สุด กระบวนการผลิตแชมเปญก็มีต้นทุนสูงทำให้ราคาพุ่งตามไปด้วย
สำหรับแชมเปญระดับธรรมดาทั่วไปทั้งประเภท
Vintage (ผลิตจากองุ่นที่ปลูกปีเดียวกัน) และ
non-vintage การทำการตลาดมีส่วนกำหนดราคาพอๆ กับคุณภาพของแชมเปญ แต่ถ้าแชมเปญชั้นสูง ตัวกำหนดราคาที่สำคัญ ได้แก่ ความหายากและคุณภาพถ้าคุณทำแชมเปญได้เยี่ยมยอดมหัศจรรย์และทำออกมาไม่กี่พันขวด คนมีเงินที่อยากลิ้มลองของดีระดับที่สุดในวงการจะยอมควักกระเป๋าชนิดเท่าไรเท่ากัน
จึงไม่แปลกใจที่แปมเปญสุดแพง 4 อันดับแรก นอกจากจะเด่นด้านคุณภาพแล้วยังหายากยิ่ง 2 ใน 4 ใช้องุ่นจากไร่เล็กๆ เจ้าละแห่ง และอีก 1 ใช้องุ่นจากไร่เล็กๆ เพียง 3 แห่ง
อันดับที่ 1
KRUG CLOS D’AMBONNAY 1998
2,000 เหรียญ
100% Pinot Noir
ไร่องุ่นล้อมรั้วขนาด 0.68 เฮกเตอร์ (ประมาณ 1.7 เอเคอร์ หรือ 4.3 ไร่) กลางหมู่บ้าน Ambonnay หนึ่งในแหล่งปลูกองุ่น Pinot Noir ที่ขึ้นชื่อที่สุดในแคว้น Champagne ผลิตแชมเปญ Blanc de noirs เพียง 4,760 ขวด หายากระดับนี้ แถมเป็นแชมเปญระดับเหนือธรรมดา แรงและเข้มเหมือไวน์เบอร์กันดีแดงชั้นเลิศจึงขึ้นแท่นแชมเปญราคาแพงอันดับ 1
อันดับที่ 2
BOLLINGER VIELLES VIGNES 2004
1,090 เหรียญ
100% Pinot Noir
Krug อีกแล้ว ทำจากองุ่นพันธุ์เดียวกันจากไร่องุ่นแห่งเดียวกันอีก
อันดับที่ 3
KRUG CLOS DU MESNIL 2003
850 เหรียญ
100% Chardonnay
Krug อีกแล้ว ทำจากองุ่นพันธุ์เดียวกันจากไร่องุ่นแห่งเดียวกันอีก แต่เป็นแชมเปญ Blanc de blancs คือทำจากองุ่น Chardonnay ล้วนๆ สไตล์การหมักบ่มของ Krug มักจะออกมารสชาติหนักแน่แต่ dry คือไม่หวานเลย และ Clos du Mesnil ที่เลื่องลือหนักหนานี้ก็คือสุดยอดของยี่ห้อนี้ นอกจาก dry ตามแบบฉบับไวน์ Krug แล้วยังเฉียบคม หายากในหมู่ไวน์ขาว รินใส่แก้วทิ้งไว้ 10-15 นาที จะได้รสชาติสดฉ่ำของ Cote d’ Or Chardonnay
อันดับที่ 4
Krug Collection 1989
470 เหรียญ
Chardonnay, Pinot Noir และ Pinot Meunier
บางปี
Krug จะเก็บแชมเปญที่ผลิตปีนั้นไว้นิดหน่อยเพื่อบ่มต่อ อย่างแชมแปญแพงอันดับ 4 ของโลกนี้ เขาบ่มต่อถึง 10 ปี ไวน์พวกนี้ไม่ได้ถูกปากทุกคน แต่นักสะสมไวน์และสาวก Krug เฝ้ารอวันที่ Krug จะปล่อยออกสู่ตลาดอย่างใจจดใจจ่อ Krug Collection 1989 บ่มนานถึง 25 ปี จึงมีสีทองเข้ม ให้อารมณ์หรูล้ำที่นานทีจะพบในแชมเปญ เมื่อสัมผัสลิ้นรสชาติยังสด หอมกลิ่นลูกแพร์ พีชขาว เจือน้ำผึ้ง แอปเปิ้ลใส่เครื่องเทศ และกลิ่นของผืนดินที่เป็นเอกลักษณ์
อันดับที่ 5
ROEDERER CRISTAL ROSE 2006
469 เหรียญ
55% Pinot Noir, 45% Chardonnay
แชมเปญ Brut ของ
Roederer ราคาพุ่งทะลุเพดานตั้งแต่นักร้องเพลงฮิพฮอฟหันมานิยมกิน แต่ถ้าเทียบกับแชมเปญ Cristal Rose เจ้าเดียวกัน ต้องบอกยังห่างกันมาก ด้วยความฮอตฮิตของแบรนด์ บวกกับความนิยมแชมเปญโรเช่ในช่วงนี้ และปริมาณการผลิตที่จำกัด ราคาจึงทะยานขึ้นแบบฉุกไม่อยู่ โดยคุณภาพต้องนับว่าเป็นแชมเปญที่มีความละเมียดละไม ผสมผสานความเย้ายวนของ Pinot Noir กับความซ่าของ Chardonnay อย่างลงตัว
อันดับที่ 6
SALON 2002
459 เหรียญ
100% Chardonnay
ติดอันดับแชมเปญ Blanc de blancs สุดหายาก เพราะผลิตในปีที่ผลผลิตองุ่นดีที่สุดเท่านั้น ใช้องุ่นจากหมู่บ้าน Le Mesnil-sur-Oger ซึ่งเป็นแหล่งปลูกระดับ Grand Cru แชมแปญรุ่นนี้ไม่ได้สัมผัสไม้โอ๊คเลยตลอดกระบวนการหมักบุ่ม กรดมาลิกซึ่งมีรสเปรี้ยวไม่ถูกแปลงเป็นกรดแลกติกซึ่งเป็นตัวการเพิ่มความหวาน ทำให้ค่าความเป็นกรดสูง ต้องใช้เวลาบ่มนานที่สุดรุ่นหนึ่ง ถ้าอยากให้กลิ่นรสสุนทรีเต็มที่ต้องรอ 15 หรือ 20 ปี
อันดับที่ 7
PERRIOR JOUET BELLE EPOQUE BLANC DE BLANC 2002
400 เหรียญ
100% Chardonnay
ขึ้นชื่อลือชาเพราะการทำฉลากที่แหวกแนว เคลือบลงบนเนื้อแก้วอย่างสวยงามเป็นเอกลักษณ์ สไตล์การทำแชมแปญของ
Perrrior Jouet เน้นความสดและเบา แต่รุ่นนี้รสชาติหนักแน่นขึ้นด้วย องุ่น Chardonnay จากไร่องุ่น Cote des Blanc ที่ได้คะแนนสูงสุด เมื่องลองลิ้มตะได้กลิ่นดอกไม้ขาวอบอวล พร้อมรสเครื่องเทศอ่อนๆ ติดลิ้น
อันดับที่ 8
DOM PERIGNON P2 1998
399 เหรียญ
Pinot Noir & Chardonnay
แชมเปญ
Dom Perignon ผมชอบที่สุด คือแชมเปญที่เก็บไว้นานเป็นพิเศษเพราะนอกจากจะบ่มนานแล้ว ซากยีสต์จากการหมักครั้งที่ 2 ที่นอนอยู่ก้นขวดยังทำให้รสชาติหนักแน่นกลมกล่อมเต็มปากเต็มคำยิ่งขึ้น แต่แชมแปญรุ่นนี้ใช้ชื่อว่า Oenotheque แต่เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น P2 ย่อมาจาก Plentude ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่เหล้าในขวดดีเสียอย่าง เรื่องอื่นช่างมันเถอะ
อันดับที่ 9
BOLLINGER RD 2002
375 เหรียญ
60% Pinot Noir, 40% Chardonnay
นี่ก็บ่มนามเหมืออนกัน (RD ย่อมาจาก recently disgorged หมายถึงบ่มในขวดที่มีซากยีสต์นอนก้นนานกว่าแชมเปญทั่วไป) แต่คุณสมบัติผิดกันไกลกับ Dom Perignon ขวดข้างบน
Bollinger ได้ชื่อว่าทำแชมเปญรสชาติจัดเต็ม ซึ่งคณจะปลื้มหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ผมชอบ การบ่มต่อในขวดทีมีซากยีสต์นอนก้นทำให้ได้ความหอมเข้มข้นเหมือนขมปัง Brioche ได้กลิ่นทีไรเป็นต้องนึกถึงขนมปังอุ่นๆ หอมกรุ่นจากเตา รสชาติที่ลุ่มลึกเจือความความหอมของน้ำผึ้ง และซับซ้อนเป็นแบบฉบับของตัวเอง ด้วยกลิ่นรสอัลมอนด์คั่ว ผลไม้เคี่ยว แซมกลิ่นเครื่องเทศจากเอเชีย
อันดับที่ 10
PERRIER JOUET EPOQUE ROSE 2004
350 เหรียญ
55% Chardonnay, 45% Pinot Noir
ขวดแก้วสวยลายดอกไม้เป็นเอกลักษณ์ของ
Perrier-Jouet เป็นบรรจุภัณฑ์ล้ำเลิศที่อยู่ภายใน ได้กลิ่นรสของสตรอว์เบอร์รี่หน้าร้อนและแอปเปิ้ลเขียวสดกรอบ ให้ความกลมกล่อมที่หาไม่ได้ในแชมเปญ Perrier-Jouet cuve ทั่วไป
เรื่อง Nick Passmore เรียบเรืยง วิริยา สังขนิยม
คลิ๊กอ่าน ForbesLife ฉบับแถมประจำเดือน MARCH 2015