Knight Frank บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกได้จัดทำ Luxury Investment Index ด้วยการสำรวจดัชนีการลงทุนของสะสมล้ำค่า (Passion Investment) พบว่าการลงทุนตามความพึงพอใจในปีที่ผ่านมายังคงทะยานต่อเนื่อง สวนทางกับความกังวลในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ของสะสมยังคงปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Knight Frank Luxury Investment Index (KFLII) ซึ่งติดตามมูลค่าการลงทุนในของสะสมล้ำค่า 10 รายการ พบว่าในปีที่ผ่านมามีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 16% โดยชนะอัตราเงินเฟ้อและสร้างผลกำไรได้สูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์หลักส่วนใหญ่ในตลาด ไม่ว่าจะเป็นหุ้นและแม้แต่ทองคำ
ดัชนีการลงทุนของสะสมล้ำค่านี้สะท้อนถึง “ความสามารถในการสะสม” ของของสะสมล้ำค่าแต่ละรายการ โดยครึ่งหนึ่งมีการเติบโตเป็นเลขสองหลักในปีที่ผ่านมา นำโดยงานศิลปะ ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับปี 2564 ซึ่ง Sebastian Duthy จาก Art Market Research กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของมูลค่าส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากราคาของงานชิ้นเอกที่จ่ายให้กับงานศิลปะคุณภาพระดับพิพิธภัณฑ์ที่นักสะสมที่ร่ำรวยเป็นพิเศษควักกระเป๋าซื้อ
“คอลเลกชันที่มีเจ้าของคนเดียวหลายคอลเลกชัน ซึ่งรวมถึงชิ้นที่ครอบครองโดย Paul Allen ผู้ก่อตั้ง Microsoft และ Anne Bass นักลงทุนชาวอเมริกัน ได้สร้างรายได้รวมกว่า 2.5 พันล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่ายอดขายคอลเลกชันในปี 2564 ถึงสองเท่า ด้วยแหล่งที่มาของนักสะสมที่มีชื่อเสียง งานระดับบลูชิปจึงทำลายสถิติการประมูลเป็นประจำ ในปีที่แล้วก็เช่นเดียวกัน มีงานศิลปะถึง 5 ชิ้นที่มีมูลค่ามากกว่า 100 ล้านเหรียญ” Duthy กล่าว
ขณะที่รถคลาสสิกก็สามารถสร้างกำไรได้ไม่แพ้งานศิลปะ โดยในปีที่แล้วมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 25% ซึ่งถือเป็นผลงานที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 9 ปี โดย Mercedes-Benz Uhlenhaut Coupe มูลค่า 143 ล้านเหรียญ ได้สร้างสถิติใหม่สำหรับรถที่แพงที่สุดเท่าที่เคยมีการขายมา
Dietrich Hatlapa จาก Historic Automobile Group International (HAGI) บริษัทวิจัยด้านการลงทุนรถคลาสสิกที่หายาก ซึ่งติดตามรถที่ทำราคาประมูลสูงสุดในตลาดให้กับ Knight Frank กล่าวว่า นักสะสมระดับไฮเอนด์กลับสู่ตลาดอีกครั้งหลังจากการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้การขายรถคลาสสิกชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม Hatlapa เตือนไม่ให้นักลงทุนหันมาลงทุนรถเพื่อหนีภาวะเงินเฟ้อ เพราะโดยปกติตลาดรถคลาสสิกไม่มีความสัมพันธ์เชิงบวกหรือผกผันกับเซกเตอร์อื่น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือตลาดรถคลาสสิกมักจะเดินไปตามจังหวะของมันเอง ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นคุณสมบัติที่นักสะสมหลายคนมองว่าการลงทุนรถคลาสสิกน่าสนใจไม่น้อย
สำหรับนาฬิกาข้อมือที่ติดอันดับ 3 ใน KFLII ในปี 2565 มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 18% ซึ่ง Duthy กล่าวว่า ตลาดนาฬิกาที่มีการประมูลโดย 3 บริษัทรับจัดประมูลเจ้าดังมีการเติบโต 33% ในปี 2565 รวมมูลค่า 475 ล้านปอนด์ ในตัวเลขนี้เป็นนาฬิกาจำนวน 40 เรือนที่ปิดประมูลได้มากกว่า 1 ล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ปิดประมูลไป 28 เรือน อย่างไรก็ตาม นาฬิการุ่นที่มีจำนวนผลิตออกมาไม่กี่เรือนกำลังเป็นผู้นำตลาด
“เมื่อเปิดแค็ตตาล็อกงานประมูลดูแล้วจะเห็นว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมายอดขายส่วนใหญ่เป็นยอดขายจากนาฬิกาเพียง 3 รุ่น คือ Patek Philippe Nautilus, Royal Oak ของ Audemars Piguet และ Rolex Daytona แม้นาฬิกาเหล่านี้ช่วยเพิ่มยอดขายในตลาดรองได้มาก แต่ก็เป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นสำหรับแบรนด์ที่บอกว่าไม่สามารถรับมือกับความต้องการได้” Duthy กล่าวเสริม
ส่วนดัชนีไวน์ใน KFLII มีการเติบโต 10% นับเป็นตัวเลขเติบโตที่ดี แต่เมื่อเทียบกับตัวเลขการเติบโตของปี 2564 ที่เติบโต 16% ปี 2565 จึงเป็นการเติบโตที่ลดลง ซึ่ง Nick Martin จาก Wine Owners ผู้ให้บริการข้อมูลด้านไวน์ กล่าวถึงสาเหตุที่ตัวเลขเติบโตลดลงว่าเป็นเพราะไวน์ที่เคยสร้างสถิติราคาประมูลสูงบางตัวมีราคาไต่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดแล้ว อย่าง Burgundy ที่พบว่ามีราคาพุ่งขึ้นกว่า 80% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ด้านวิสกี้ แม้จะได้เป็นผู้นำในรอบ 10 ปีของ KFLII ด้วยอัตรากำไรที่ทะยานถึง 373% แต่ก็เป็นหนึ่งในของสะสมล้ำค่าที่มีการเติบโตของมูลค่าน้อยที่สุดในปี 2565 โดยเพิ่มขึ้นเพียง 3%
Andy Simpson กูรูวิสกี้และหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Rare Whisky 101 บริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่เผยแพร่ข้อมูลเชิงลึกให้แก่นักสะสมและนักลงทุนวิสกี้กล่าวว่า ตลาดวิสกี้ที่มีมูลค่าขวดละมากกว่า 5,000 ปอนด์ ได้ชะลอตัวลงอย่างมาก “เมื่อราคาถีบตัวสูงขึ้น นักเก็งกำไรก็เข้ามาในตลาดเพียงเพื่อต้องการเก็งกำไร ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ไม่ยั่งยืน”
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Buy Hold Sell: คำแนะนำจากกูรู กีตาร์, รถวินเทจ, นาฬิกาหรู รุ่นไหนน่าซื้อ ถือไว้ หรือขายบ้าง
