เศรษฐีและผู้มีรายได้สูงได้เปลี่ยนมาเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น จากเดิมที่เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศตลาดบ้านพักตากอากาศในกลุ่มลักชัวรีตามหัวเมืองท่องเที่ยวหลัก จึงเข้ามาเติมเต็มและสนองตอบความต้องการ รวมถึงกลายเป็นบ้านหลังที่ 2 ของพวกเขาแทน
แม้ว่าในปีนี้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
(COVID-19) ทว่าแนวโน้มความต้องการบ้านพักอาศัยในรูปแบบพักระยะยาว หรือบ้านหลังที่ 2 ยังคงมีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะบรรดาเศรษฐีเมืองไทย และผู้มีรายได้สูงไม่สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวที่ต่างประเทศได้ เนื่องจากการปิดประเทศตามสถานการณ์ COVID-19 จากปกติในแต่ละปีกลุ่มคนเหล่านี้มักจะเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งค่าใช้จ่ายในแต่ละทริป ใช้เม็ดเงินหลักหลายแสนบาทเลยทีเดียว
บรรดาเศรษฐีเมืองไทยจึงหันมาเลือกท่องเที่ยวในเมืองไทยแทน แต่ด้วยสถานการณ์ COVID-19 ที่พักมีจำกัดและหายาก เนื่องจากโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวขึ้นไปหลายแห่งยังไม่เปิดให้บริการ ส่งผลให้กลุ่มคนเหล่านี้ต้องมองหาทางเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม เพื่อใช้เป็นสถานที่พักเมื่อต้องการไปเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวเหล่านั้น
ดังนั้น นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จึงตบเท้ากันลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขาย และจับตลาดคนไทย พร้อมกับการปรับกลยุทธ์การขาย ด้วยการการันตีผลตอบแทนจากการลงทุน หรือการพัฒนาโครงการในรูปแบบ Branded Residence ดึงเชนโรงแรมหรูมาบริหาร เพิ่มมูลค่า และสร้างความน่าสนใจให้กับโครงการนั้นส่งผลให้ที่ผ่านมา หลายโครงการยังสามารถสร้างยอดขายได้สูงและปิดโครงการได้
สำหรับเมืองท่องเที่ยวหลักที่ได้รับความสนใจมักจะเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ หรือเดินทางได้อย่างสะดวก โดยหากขับรถไปเองจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง หรือสามารถเดินทางได้ด้วยสายการบิน และเป็นเมืองที่มีสินค้าระดับลักชัวรีให้ได้เลือกซื้อ ซึ่ง 3 เมืองที่ตอบโจทย์ความต้องการของบรรดาเศรษฐีเมืองไทยได้ครบถ้วน ได้แก่ หัวหิน พัทยา และภูเก็ต
ถ้าพูดถึงเมืองท่องเที่ยวตากอากาศแห่งแรกของไทย ต้องยกให้กับหัวหิน เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเมืองพักตากอากาศมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว นับอายุก็ได้กว่า 100 ปี ซึ่งตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา เมืองหัวหินถือเป็นเมืองท่องเที่ยวตากอากาศของชนชั้นสูง หรือกลุ่มลูกค้าระดับบน เป็นเมืองท่องเที่ยวตากอากาศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่สามารถหาได้จากเมืองท่องเที่ยวอื่นทำให้เป็นที่ชื่นชอบของคนกรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียง ในการมาท่องเที่ยวในช่วงวันหยุด
ไม่เพียงแต่กลุ่มนักท่องเที่ยวคนไทย ชาวต่างชาติก็ชื่นชอบบรรยากาศและเอกลักษณ์ของความเป็นหัวหิน จึงเลือกที่จะเข้ามาท่องเที่ยวและพักอาศัยอยู่ในเมืองหัวหิน ทั้งรูปแบบการพักอาศัยระยะสั้น และพักระยะยาว
(Long Stay) คาดว่ามีชาวต่างชาติมาพักอาศัยแบบระยะยาวมากถึง 30,000 คน ในพื้นที่หัวหิน และในพื้นที่ชะอำ ปราณบุรี และ จ.ประจวบคีรีขันธ์
ภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย และการสื่อสารบริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ระบุว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในหัวหิน ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าคนไทย เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางได้ในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งกลุ่มผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในหัวหิน จะเป็นกลุ่มคนที่มีฐานะดี ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง เพื่อใช้สำหรับการพักผ่อนในช่วงวันหยุด ซึ่งในปีนี้มีคอนโดมิเนียมหลายโครงการสามารถปิดการขายได้ท่ามกลางกระแสการแพร่ระบาดของ COVID-19
ปัจจัยความสำเร็จและผลตอบรับที่ดีดังกล่าว เป็นเพราะเสน่ห์ความเป็นเมืองหัวหินที่ไม่เหมือนเมืองท่องเที่ยวอื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยว บรรยากาศเมืองที่สงบปลอดภัย และมีคุณภาพการใช้ชีวิตที่ดี จากระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ที่ได้รับการพัฒนาไว้รองรับ ส่งผลให้กลุ่มลูกค้าคนไทยส่วนใหญ่จึงเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ในหัวหิน เพื่อใช้สำหรับการพักผ่อนท่องเที่ยว
ขณะที่กลุ่มลูกค้าต่างชาติให้ความสนใจเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ในหัวหิน เพื่อใช้เป็นบ้านหลังที่ 2 สำหรับการพักในระยะยาว และเพื่อลงทุน ซึ่งมีทั้งชาวยุโรป และเอเชียโดยเฉพาะชาวจีนที่เข้ามาซื้อห้องชุดคอนโดมิเนียมแบบยกล็อตจำนวน 200-500 ยูนิต เพื่อนำไปลงทุนปล่อยเช่าให้กับลูกค้าชาวจีนด้วยกันเอง
- โอกาสสร้างผลตอบแทนในพัทยา
พัทยาเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับการลงทุน ซื้อบ้านหลังที่ 2 ซึ่งชาวไทยและต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาพักอาศัยเพราะองค์ประกอบของเมืองที่เรียกได้ว่า มีครบ ตอบโจทย์การใช้ชีวิต การท่องเที่ยว และการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม การเป็นศูนย์กลางความเศรษฐกิจสำคัญของภาคตะวันออกที่ทำให้เกิดการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกมารองรับ ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ การเดินทางที่สะดวก ใช้ระยะเวลาไม่นาน และมีทางเลือกหลากหลายในการเดินทาง
นอกจากนี้ พัทยายังเป็นเมืองที่อยู่ในแผนการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาระบบคมนาคมเพิ่มขึ้นในอนาคต เช่น เส้นทางรถไฟความเร็วสูง การเปิดใช้สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ยิ่งจะเป็นปัจจัยส่งเสริมให้พัทยากลายเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักสำคัญ ทั้งสถานที่สำหรับการอยู่อาศัยในระยะยาว และบ้านหลังที่ 2 ของชาวไทยและต่างชาติเพิ่มมากขึ้น
สำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพัทยารูปแบบหลัก คือโครงการคอนโดมิเนียม โดยข้อมูลฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า ในปี 2562 ที่ผ่านมา คอนโดมิเนียมเปิดตัวขายมากกว่า 15,545 ยูนิต แต่หลังจากมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ตลาดชะลอตัวลง และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำต้องระมัดระวังในเรื่องการลงทุนใหม่ ดังนั้น ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 จึงมีโครงการเปิดตัวใหม่เพียง 2 โครงการ จำนวน 480 ยูนิตเท่านั้น
ส่วนทำเลที่มีการพัฒนาโครงการจำนวนมาก ได้แก่ พื้นที่จอมเทียน และนาจอมเทียน เนื่องจากราคาที่ดินยังไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับทำเลใจกลางเมืองพัทยา หรือวงศ์อมาตย์ และยังมีที่ดินที่มีศักยภาพสามารถพัฒนาได้อีกมาก รองลงมาเป็นทำเลพระตำหนัก วงศ์อมาตย์ และพัทยา แต่มีโครงการเปิดขายใหม่น้อยมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากที่ดินมีจำกัด และราคาค่อนข้างสูง แต่เป็นทำเลที่กลุ่มลูกค้าระดับบนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมา พบว่ามีโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่เปิดขาย 1 โครงการ ซึ่งพัฒนาโดยดีเวลอปเปอร์รายใหญ่ในพื้นที่
ภูเก็ต เมืองท่องเที่ยวและตากอากาศ ที่มีชื่อเสียงระดับโลกเป็น World Class Destination ที่มีศักยภาพและความพร้อมด้านต่างๆ จึงทำให้ภูเก็ตมีโครงการรองรับตลาดบ้านหลังที่ 2 ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าระดับลักชัวรีอย่างมากมาย ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าปีนี้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่กระทบต่อยอดขายในกลุ่มชาวต่างชาติ แต่ยอดขายสำหรับกลุ่มเศรษฐีเมืองไทยยังไปได้ดี
ข้อมูลจากไนท์แฟรงค์ ระบุว่า ตลาดคอนโดมิเนียมช่วงปลายปี 2562 ภูเก็ตมีซัพพลายสะสม 25,932 ยูนิต มียอดขายแล้ว 74% ซึ่งช่วง ปี 2560-2562 เป็นช่วงที่มียอดขายคอนโดมิเนียมดีที่สุด เพราะโครงการที่เปิดขายมีการการันตีผลตอบแทนการลงทุนกับผู้ซื้อเป็นระยะเวลา 3-5 ปี และยังสามารถเข้าพักได้ในระยะเวลา 30-45 วันต่อปี ซึ่งในปีที่ผ่านมา มีโครงการใช้วิธีดังกล่าวจำนวน 18 โครงการ จากจำนวนที่เปิดขายทั้งหมด 21 โครงการ
สำหรับคอนโดมิเนียมใหม่ที่เปิดตัวใหม่ 21 โครงการ มีจำนวน 5,545 ยูนิต ซึ่งทำเลที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ได้แก่ทำเลหาดสุรินทร์ถึง 20% รองลงมาเป็นบริเวณหาดลายัน และหาดราไวย์ คิดเป็นสัดส่วนในอัตรา 17% และ 14% ตามลำดับ โดยบริเวณหาดสุรินทร์มีจำนวนคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่สูงสุด เนื่องจากมีโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่เปิดขายในส่วนของบริเวณกมลาในชื่อโครงการ โอเที่ยม
(Otium) ซึ่งเป็นโครงการที่พักสำหรับผู้เกษียณอายุ
นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าหลักของตลาดคอนโดมิเนียมในภูเก็ตในอดีตเป็นชาวต่างชาติเกือบ 100% ทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักลงทุนที่มีความชื่นชอบในการเข้ามาท่องเที่ยวในภูเก็ต แต่ปัจจุบันมีกลุ่มคนไทยเข้ามาซื้อเพิ่มขึ้นด้วยสัดส่วน 10% แต่กลุ่มผู้ซื้อหลักสัดส่วน 90% ยังเป็นชาวต่างชาติในต่างประเทศ และชาวต่างชาติที่ทำธุรกิจอยู่ในกรุงเทพฯ ด้วย ทั้งชาวจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปีนี้ยังคงส่งผลกระทบต่อตลาดคอนโดมิเนียมและวิลล่าในภูเก็ต เนื่องจากพึ่งพากลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติเป็นหลัก โดยเฉพาะลูกค้าชาวจีน Hong Kong และสิงคโปร์ ซึ่งประเทศต่างๆ เหล่านี้ก็ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 มากเช่นกัน ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาฟื้นตัวได้เหมือนที่ผ่านมาคงต้องรอให้ชาวต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ รวมถึงการมีวัคซีนป้องกัน COVID-19 ที่ได้รับการใช้อย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น
เรื่อง: ธนาธิป ประสพสุข
คลิกอ่านบทความทางด้านธุรกิจจากผู้บริหารระดับสูงได้ที่นิตยสาร ForbesLife Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2563 ในรูปแบบ e-magazine