ทีมสำรวจกระดูกสันหลังอันยิ่งใหญ่แห่งทวีปแอฟริกาค้นพบแหล่งน้ำใหม่ที่อาจเป็นต้นน้ำของแม่น้ำคองโกสาขาหลัก
หากไม่มีน้ำ ก็จะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในแอฟริกา ความมั่นคงทางน้ำจึงเป็นปัญหาใหญ่ แต่การสำรวจกระดูกสันหลังหลักของแอฟริกา ซึ่งนำโดยพันธมิตรโครงการ Rolex Perpetual Planet Initiative และสตีฟ บอยส์ (Steve Boyes) นักสำรวจจาก National Geographic กำลังเปลี่ยนความเข้าใจของเราเกี่ยวกับแหล่งน้ำในแอฟริกา โดยแสดงให้เห็นว่าแม่น้ำสำคัญหลายสายในแอฟริกามีกำเนิดจากที่ราบสูงที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก เช่น เทือกเขาแองโกลา Steve พยายามสำรวจเพื่อให้มั่นใจว่า เราจะสามารถเข้าใจและปกป้องพื้นที่ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญให้กับผู้คนเกือบ 500 ล้านคนได้ในที่สุด
ซากตะกอนที่ทับถมอยู่ในแม่น้ำทำหน้าที่เสมือนฟองน้ำขนาดใหญ่ สามารถกักเก็บน้ำได้มากถึง 25 เท่าของน้ำหนักตะกอนแห้ง ทำให้มั่นใจได้ว่าจะส่งน้ำให้กับแม่น้ำได้อย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงฤดูแล้ง ส่งผลให้พื้นดินตะกอนเป็นแหล่งน้ำประสิทธิภาพสูง โดยสามารถกักเก็บและจัดส่งน้ำจืด ช่วยให้ชีวิตปลายน้ำธำรงอยู่ได้ในช่วงหน้าแล้งตามปกติ โครงสร้างเหล่านี้มักจะเห็นอยู่ในธารน้ำแข็งที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมาก สตีฟประมาณการว่า แม้จะไม่มีหิมะปกคลุม ในทุกปีจะมีน้ำปริมาณ 423 ลูกบาศก์กิโลเมตร หรือเทียบเท่ากับปริมาณน้ำที่ใช้ในรัฐแคลิฟอร์เนียทั้งรัฐถึงสิบเท่า ไหลจากที่ราบสูงในเทือกเขาแองโกลา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำคาสไซ
ในการสำรวจครั้งล่าสุด สตีฟนำทีมงาน 12 คน เดินทางสำรวจแม่น้ำคาสไซ ซึ่งเป็นสาขาหลักของแม่น้ำคองโกที่กว้างใหญ่ ระยะทาง 627 กิโลเมตร ยาวนานถึงห้าสัปดาห์ ผลการสำรวจในครั้งนี้น่าสนใจมาก
การค้นพบในขั้นต้นได้สร้างความประหลาดใจแก่ทีมสำรวจ นั่นคือ อาจมีการระบุแหล่งกำเนิดของแม่น้ำคาซไซคาดเคลื่อน ทีมงานพบว่าแม่น้ำมุนฮังก้า (Munhango River) ซึ่งมีต้นกำเนิดในที่ราบสูงแองโกลา ให้น้ำมากเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับแหล่งต้นน้ำที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน ซึ่งหมายความว่า แหล่งกำเนิดของแม่น้ำคาสไซอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดที่แท้จริงของแม่น้ำซัมเบซี (Zambezi River) เพียง 20 กิโลเมตร ซึ่งก็มาจากที่ราบสูงแองโกลาเช่นเดียวกัน
แม้ว่าการค้นพบอันยิ่งใหญ่นี้จะมีความสำคัญ แต่การสำรวจส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่รายละเอียดมากกว่า สตีฟและทีมงานของเขาจดบันทึกทุกสิ่งอย่าง โดยใช้การถ่ายภาพทางอากาศ การวัดการไหลของน้ำและคุณภาพน้ำ รวมถึงการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างฐานข้อมูลทางนิเวศวิทยาและการไหลของน้ำในแม่น้ำ "เราบันทึกทุกสิ่งที่เราเห็น ทั้งนก สัตว์ ผู้คน ชุมชน" สตีฟกล่าว "นี่คือการสร้างฐานข้อมูลของแม่น้ำที่ละเอียดที่สุดที่เคยมีมา ดังนั้นในอีก 50 ปีข้างหน้า นักวิทยาศาสตร์ก็จะสามารถเปรียบเทียบได้"
ความสำเร็จที่มีคุณค่าไม่เคยได้มาง่ายดาย เช่นดียวกับการสำรวจของสตีฟที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก การสำรวจเดินทางผ่านพื้นที่ที่เต็มไปด้วยทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นมรดกจากสงครามกลางเมืองหลายทศวรรษในแองโกลา ทีมงานจึงต้องใช้รถบรรทุกที่มีเกราะป้องกันเป็นพิเศษในช่วงแรกของการเดินทาง
"มันเกือบจะเป็นความโล่งใจเมื่อคุณได้ลงไปในแม่น้ำ" สตีฟกล่าว "แต่เมื่ออยู่บนผืนน้ำ ทุกวันก็เต็มไปด้วยการเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้ ไม่มีใครที่สามารถนำทางในแม่น้ำเหล่านี้หรือรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น"
ในช่วงแรกของการเดินทำงไปตามลำน้ำ มีความคืบหน้าช้ามากเนื่องจากลำธารแคบถูกปิดกั้นด้วยพืชพรรณหนาทึบ และในช่วง 12 วันแรกของการสำรวจ กลุ่มของพวกเขาครอบคลุมระยะทางได้เพียง 42 กิโลเมตร จากนั้นเมื่อแม่น้ำขยายและลึกขึ้น ความน่าเบื่อก็ถูกแทนที่ด้วยอันตรายจากการพบเจอกับจระเข้ ฮิปโป และจากคำพูดของสตีฟ "น้ำวนที่น่ากลัว"
อย่างไรก็ตาม ความยากลำบากในการสำรวจแม่น้ำที่ห่างไกลและไม่เป็นมิตรนี้กลับมอบรางวัลที่แทบไม่อาจบรรยายออกมาได้ เพราะสัตว์ในพื้นที่ยังไม่เรียนรู้ที่จะกลัวมนุษย์ ทีมงานจึงได้รับประสบการณ์พิเศษในการชมสัตว์ป่าในท้องถิ่นได้อย่างใกล้ชิด จนถึงตอนนี้ พวกเขาได้ค้นพบสิ่งมีชีวิต 143 สายพันธุ์ที่ไม่เคยมีการบันทึกในทางวิทยาศาสตร์ในที่ราบสูงแองโกลา "ฮิปโปและลิงไม่เคยเห็นคน นกก็ไม่กลัวคุณ มันเหมือนกับการอยู่ในมาดากัสการ์หรือนิวซีแลนด์ ที่ซึ่งสัตว์ไม่ได้ถูกโปรแกรมให้กลัวมนุษย์ มันน่าทึ่งมาก"
"พื้นที่ดินตะกอนไม่เพียงแต่สำคัญในฐานะแหล่งกักเก็บน้ำ แต่ยังเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนที่เก็บกักคาร์บอนในปริมาณมหาศาลอย่างหนาแน่นมาเป็นพันๆ ปี จากข้อมูลของสตีฟ พื้นที่ดินตะกอนในแองโกลาอุดมไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและมีประสิทธิภาพในการเก็บกักคาร์บอนและน้ำจนทำให้การปกป้องพื้นที่เหล่านี้มีความสำคัญในระดับโลก การทำความเข้าใจแหล่งน้ำสำคัญของแม่น้ำคองโกและแซมเบซีเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องมัน "งานของเรามีความสำคัญในการช่วยรัฐบาลตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้น้ำ การพัฒนาเมือง และโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานได้อย่างมีข้อมูล"
ตามที่สตีฟกล่าว นี่คือจุดที่ความร่วมมือกับ Rolex เป็นประโยชน์มาก นั่นคือการนำข้อมูลไปสู่ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ เขากล่าวย้ำว่า Rolex ทำให้เขาสามารถที่จะเผยแพร่การค้นพบของเขาไปทั่วโลก และการสนับสนุนที่ได้รับนั้นมีมาอย่างต่อเนื่อง
"มันเป็นการกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจจริงๆ ที่ได้ทำงานร่วมกับองค์กรที่คุณสามารถพูดคุยเกี่ยวกับแนวคิดอันยิ่งใหญ่ และพวกเขาดูเหมือนจะต้องการให้คุณคิดให้ใหญ่ไปกว่านั้นอีก การสนับสนุนจาก Rolex เปลี่ยนชีวิตของผมไปเลย"
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา สตีฟได้สำรวจแม่น้ำที่โหดร้ายของแอฟริกากว่า 12,000 กิโลเมตร การเดินทางและการค้นพบของเขาทำให้เขามองอนาคตของทวีปนี้ในเชิงบวก
"โลกมองมาที่เราในขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเกิดขึ้น และคิดว่า "แอฟริกาจะได้รับผลกระทบมากที่สุด" แต่เมื่อเราจำลองสถานการณ์ขึ้นมา เราก็ไม่รู้ว่าแอฟริกามีแหล่งกักเก็บน้ำเหล่านี้ ความสามารถในการฟื้นตัวที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมายังสามารถปกป้องได้ แต่เราจำเป็นต้องทำในตอนนี้"
เกี่ยวกับโครงการ PERPETUAL PLANET INITIATIVE
เป็นเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษที่ Rolex ให้การสนับสนุนนักสำรวจผู้บุกเบิกและผลักดันขีดความสามารถเพื่อก้าวข้ามขอบเขตความพยายามของมนุษย์ บริษัทฯ ได้ต่อยอดจากการสนับสนุนการสำรวจเพื่อค้นพบสิ่งใหม่ สู่การค้นหาแนวทางเพื่อปกป้องโลก พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสนับสนุนบุคคลและองค์กรในระยะยาว โดยใช้วิทยาศาสตร์เพื่อสร้างความเข้าใจและแสวงหาวิธีแก้ปัญหาความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน
การมีส่วนร่วมนี้สะท้อนชัดผ่านการเปิดตัวโครงการ Perpetual Planet Initiative อันเป็นแนวคิดริเริ่มในปี 2019 ซึ่งในช่วงแรกมุ่งเน้นไปที่การมอบรางวัล Rolex Awards for Enterprise รวมถึงความร่วมมือระยะยาวกับ Mission Blue และ National Geographic Society
ปัจจุบัน โครงการฯ ได้สร้างเครือข่ายพันธมิตรอื่นๆ กว่า 30 ราย โดยรวมถึง คริสตินา มิตเตอร์ไมเออร์ และพอล นิกเลน, โครงการ Rewilding Argentina และ Rewilding Chile ซึ่งเป็นองค์กรในเครือของ Tompkins Conservation โครงการสำรวจ Under The Pole, โครงการ Monaco Blue, โครงการ Coral Gardeners
Rolex ยังสนับสนุนนักสำรวจ นักวิทยาศาสตร์ และนักอนุรักษ์รุ่นใหม่ด้วยการมอบทุนการศึกษาและให้ทุนสนับสนุนผ่านโครงการต่างๆ อาทิ Our World-Underwater Scholarship Society และ The Rolex Explorers Club Grants