จุดหมายปลายทางสำหรับหลบหลีกความวุ่นวายหรือปลีกตัวจากชีวิตที่เร่งรีบในเมืองใหญ่มีให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้งวิลลาริมทะเล สกีรีสอร์ต บ้านชาเลต์ริมเขาในเขตชนบท
หลังยุคโควิด-19 เทรนด์การทำงานยุคใหม่ Work from Anywhere ทำให้สถานที่เหล่านี้ไม่ได้ถูกจำกัดให้ใช้เวลาเพียงในวันหยุดหรือช่วงเทศกาลอีกต่อไป
จากการสำรวจของบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ Savills ได้จัดอันดับและให้คะแนนจากไลฟ์สไตล์การพักผ่อน ความหรูหรา สะดวกสบาย ร้านอาหารและร้านค้าระดับไฮเอนด์ โรงแรม 4-5 ดาว คุณภาพชีวิต ราคาที่อยู่อาศัยระดับหรู จำนวนเที่ยวบินและการเชื่อมต่อกับเมืองต่างๆ และความนิยมในการค้นหาข้อมูลใน Google สู่ 10 ทำเลยอดนิยม ดังนี้
Cote d’Azur, ฝรั่งเศส
ราคาเฉลี่ยที่อยู่อาศัยระดับหรู: 23,000 ยูโร/ตารางเมตร
Cote d’Azur หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ French Riviera เป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสทอดยาวไปถึงโมนาโก มีระยะทางริมชายฝั่งเกือบ 900 กิโลเมตร ด้วยทัศนียภาพและสภาพอากาศจึงเป็นแหล่งพักตากอากาศเก่าแก่ในช่วงศตวรรษที่ 18 ของบรรดาราชวงศ์ ชนชั้นสูง และเศรษฐียุโรปที่มาใช้เวลาหลบความเย็นยะเยือกในช่วงฤดูหนาว
Cote d’Azur เป็นย่านที่ได้รับคะแนนรวมสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคะแนนด้านไลฟ์สไตล์สำหรับการพักผ่อน คุณภาพชีวิต และการเชื่อมต่อกับเมืองต่างๆ มีสนามบินที่ติดอันดับสนามบินที่พลุกพล่านที่สุดเป็นอันดับ 3 ของฝรั่งเศส และมีเส้นทางบินใหม่ๆ เปิดให้บริการอยู่เสมอ
Monaco, โมนาโก
ราคาเฉลี่ยที่อยู่อาศัยระดับหรู: 52,000 ยูโร/ตารางเมตร
เมือง Monaco ได้อันดับ 2 ใน World Second Home Locations เนื่องจากได้คะแนนด้านไลฟ์สไตล์สำหรับการพักผ่อน ความหรูหราสะดวกสบาย ร้านอาหารไฮเอนด์ และบริการด้านโรงแรม 4-5 ดาวน้อยกว่า Cote d’Azur เกือบครึ่ง แต่ราคาที่อยู่อาศัยระดับหรูของ Monaco ได้รับคะแนนสูงกว่าอันดับแรกกว่าเท่าตัว
นครรัฐแห่งนี้เป็นเมืองเล็กที่มีขนาดเพียง 2.1 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่า Central Park ใน New York ที่มีขนาด 3.4 ตารางกิโลเมตร แต่เต็มไปด้วยบ้านของบรรดาอีลีตและมหาเศรษฐีระดับโลกที่เข้ามาซื้อเพื่อเป็นทั้งบ้านหลังหลักและบ้านพักตากอากาศ เพราะเป็นเมืองที่มีแดดตลอดทั้งปี
Aspen, สหรัฐอเมริกา
ราคาเฉลี่ยที่อยู่อาศัยระดับหรู: 41,000 ยูโร/ตารางเมตร
เมืองสกีชื่อดังของอเมริกาเหนือแห่งนี้ถือเป็นเมืองสกีอันดับ 1 ของ World Second Home Locations ขึ้นชื่อด้านสุดยอดสภาพภูมิประเทศที่เหล่านักสกีต้องแวะให้ได้สักครั้งในชีวิต และเป็นเมืองที่ตลาดบ้านพักตากอากาศได้รับความนิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา
Aspen ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชอบเล่นสกีมาเกือบ 100 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 1930 ผู้ซื้อบ้านพักส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันและเหล่าคนดัง เช่น Kevin Costner, Goldie Hawn และ Kurt Russel รวมทั้งมหาเศรษฐีติดอันดับโลกอย่าง Jeff Bezos เจ้าพ่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซ Amazon, Ann Walton Kroenke ทายาท Walmart และสมาชิกตระกูล Dell
Tuscany, อิตาลี
ราคาเฉลี่ยที่อยู่อาศัยระดับหรู: 3,000 ยูโร/ตารางเมตร
Tuscany เป็นจุดหมายปลายทางที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะเป็นแหล่งสถาปัตยกรรม มีพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ และมีภูมิประเทศที่งดงามจากเทือกเขา Apennine ไปจนถึงทะเล Tyrrhenian ทางฝั่งตะวันตกของอิตาลี จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก
Tuscany มีร้านอาหารที่ได้รับการแนะนำในคู่มือ Michelin Guide ถึง 194 แห่ง หนึ่งในร้านอาหารรางวัล 2 ดาวมิชลินคือ Il Piccolo Principe ตั้งอยู่ชั้นล่างของ Grand Hotel Principe di Piemonte โรงแรมเก่าแก่ชื่อดังที่เพิ่งฉลองครบรอบร้อยปีไปเมื่อไม่นานมานี้
Mallorca, สเปน
ราคาเฉลี่ยที่อยู่อาศัยระดับหรู: 11,600 ยูโร/ตารางเมตร
ชายหาดงดงามและอากาศอบอุ่นที่แสนเพอร์เฟกต์ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมายัง Mallorca เกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะ Balearic และเป็นคู่แข่งตัวตึงของ Ibiza เกาะชื่อดังในหมู่เกาะเดียวกัน
ด้วยไลฟ์สไตล์สำหรับการใช้ชีวิตในวันหยุด โรงแรมและร้านอาหารต่างๆ และการเดินทางเข้าออกสเปนและประเทศอื่นๆ ในยุโรปที่สะดวก ทำให้บ้านพักตากอากาศที่ Mallorca เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ซื้อบ้านพักตากอากาศจากทั่วทุกมุมโลก
St. Moritz, สวิตเซอร์แลนด์
ราคาเฉลี่ยที่อยู่อาศัยระดับหรู: 23,860 ยูโร/ตารางเมตร
St. Moritz เป็นมากกว่าแค่เมืองสกีรีสอร์ต เมืองต้นกำเนิดของการท่องเที่ยวช่วงฤดูหนาวในแถบเทือกเขา Alpine ที่เริ่มต้นในปี 1864 และเมืองที่มีการจัดแข่งโอลิมปิกฤดูหนาวถึง 2 ครั้งในปี 1928 และ 1948 เพราะที่จริงแล้วเมืองนี้มีชื่อเสียงเป็นครั้งแรกจากบ่อน้ำแร่ที่ถูกค้นพบเมื่อ 3,000 ปีก่อน และยังเป็นจุดเล่นโยคะท่ามกลางหิมะบนทางสโลปของภูเขาแห่งแรกของโลกที่ชื่อ Paradiso
Cotswolds, สหราชอาณาจักร
ราคาเฉลี่ยที่อยู่อาศัยระดับหรู: 7,600 ยูโร/ตารางเมตร
Cotswolds เป็นเมืองที่มีคาแรกเตอร์โดดเด่นชัดเจนด้วยบ้านกระท่อมวินเทจหลังย่อมสีเหลืองทองเรียงรายอยู่ทั่ว พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้าและสวนดอกไม้สวยงามราวกับหลุดออกมาจากนิทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งย่าน Arlington Row ในหมู่บ้าน Bibury ที่เป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวท่ามกลางบรรยากาศแห่งความเป็นชนบท
Costa Brava, สเปน
ราคาเฉลี่ยที่อยู่อาศัยระดับหรู: 3,600 ยูโร/ตารางเมตร
แนวชายฝั่งทะเลทางตะวันออกเฉียงเหนือของสเปน หนึ่งใน culinary hub ของโลก ซึ่งนอกจากอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนที่ผสมผสานศิลปะการทำอาหารหลากหลายชาติทั้งโรมัน กรีก ฝรั่งเศส อิตาลี อาหรับ และยิวเข้าไว้ด้วยกันแล้ว Costa Brava ยังมีจำนวนร้านอาหารที่ได้รับการแนะนำในคู่มือ Michelin Guide มากมาย
บ้านหรูที่ Costa Brava มีราคาไม่เบา ในปีที่ผ่านมาราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.5 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 15% จากปี 2021 ย่านที่มีราคาบ้านแพงที่สุด คือ Cadaques, S’Agaro และ Playa de Aro เพราะทั้ง 3 ทำเลนี้มีชายหาดที่งดงาม มีวิวทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่สวย และใกล้กับ Barcelona โดย 2 ใน 3 ของผู้ซื้อเป็นชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และรัสเซีย
Palm Beach, สหรัฐอเมริกา
ราคาเฉลี่ยที่อยู่อาศัยระดับหรู: 39,700 ยูโร/ตารางเมตร
Palm Beach ได้รับการขนานนามว่าเป็น Manhattan on Sea เพราะเป็นย่านที่มีกลุ่มผู้บริหารธุรกิจจากหลากหลายวงการ โดยเฉพาะแวดวงเทคโนโลยี การเงิน และกฎหมายจากเมืองต่างๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก New York หิ้วกระเป๋าย้ายเข้ามาเป็นพลเมือง จับจองซื้อที่อยู่อาศัยเป็นบ้านหลังหลักกันจำนวนมาก ไม่ใช่เพียงบินหนีอากาศเย็นทางตอนเหนือมาพักแค่ในช่วงหน้าหนาวอีกต่อไป
Costa Smeralda, อิตาลี
ราคาเฉลี่ยที่อยู่อาศัยระดับหรู: 11,500 ยูโร/ตารางเมตร
Costa Smeralda หรือ Emeral Coast แปลว่าชายฝั่งมรกตในภาษาอิตาลี ถือเป็นทำเลรีสอร์ตยอดนิยมแห่งหนึ่งของยุโรป อยู่ทางตอนเหนือไปทางตะวันออกของเกาะ Sardinia เกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของอิตาลี กลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางฝั่งตะวันตกของประเทศ เป็นเกาะที่ราชวงศ์ในยุโรปและคนดังจากฮอลลีวูดนิยมมาพัก ด้วยความงดงามของชายหาด น้ำทะเลที่ใสราวกระจกสะท้อนท้องทะเลสีเขียวมรกต และไลฟ์สไตล์หรูหรา
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 5 อันดับ คอนโดแพงที่สุดในกรุงเทพฯ 2023